tag:blogger.com,1999:blog-88959179726555934252024-03-13T19:38:36.170+07:00พิธันดรบันทึก Pitandorn@BlogSpotคุณพีทคุงชวนคุยเรื่องการเขียนนิยายครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.comBlogger11125tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-14197270110732411112014-12-01T00:32:00.001+07:002014-12-01T01:44:16.733+07:00โจทย์ฝึกเขียน - สื่อความรู้สึกด้วยการแสดงออก<div class="MsoNormal">
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">นิยายคือเรื่องราว เหตุการณ์
ความเป็นไปของตัวละคร แต่ถ้ามีแค่เหตุการณ์โดยไม่มีความรู้สึก
ก็คงคล้ายกับการอ่านประวัติศาสตร์ ปี พ.ศ. นั้นนี้ มีคนชื่อนี้ ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
ได้ผลเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อ่านแล้วเข้าใจมั้ย? ก็เข้าใจนะ แต่สนุกมั้ย
อันนี้ขอคิดอีกที</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">นิยายจะสนุกได้ก็มีความรู้สึก
ตัวละครเจอสิ่งนั้นทำสิ่งนี้ แล้วยังไง? เขาหรือเธอรู้สึกยังไงบ้าง มีความสุขมั้ย
ทุกข์มั้ย ดีใจ เสียใจ กลัว ผิดหวัง สมหวัง มีความหวัง
คนอ่านจะได้ร่วมรับรู้ไปกับตัวละครครับ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ในงานเขียนรูปแบบนิยาย
การบอกเล่าความรู้สึกของตัวละครให้คนอ่านรู้ก็มีหลายวิธีครับ
วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือ บอกออกมาตรงๆ นี่แหละ (แบบนี้ภาษาการเขียนเรียกว่า </span>tell)<span lang="TH"> เช่น</span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-left: .5in;">
<br /></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH">เขารู้สึกกลัว</span><o:p> </o:p> </blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH">เขาลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะเดินต่อไปหรือไม่</span><o:p> </o:p></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH">เขาสงสารเธอเหลือเกิน</span></blockquote>
<div class="MsoNormal" style="margin-left: .5in;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">แต่ก็มีวิธีที่บอกให้คนอ่านรู้ได้อีกหลายวิธีโดยที่ไม่เขียนคำแสดงความรู้สึกเหล่านี้ออกมาตรงๆ
ก็คือบอกให้คนอ่านรู้ผ่านการแสดงออกของตัวละคร (แบบนี้ภาษาการเขียนเรียกว่า </span>show<span lang="TH"> ครับ)<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">การแสดงออกบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ตัวละครไม่ได้ตั้งใจ เป็นปฏิกิริยาของร่างกาย เช่น</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH">เขาใจเต้นแรง มือสั่น เหงื่อชื้นไปหมด</span></blockquote>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">การแสดงออกบางอย่างอาจจะเป็นสิ่งที่ตัวละครตั้งใจทำ
เช่น</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH">เขาเม้มริมฝีปากแน่น ตบโต๊ะปังใหญ่ หันหลังขวับ
ย่ำโครมๆ ออกจากห้องไป</span></blockquote>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ตำราหลายเล่มแนะนำว่าให้ </span>Show. Don’t
tell. <span lang="TH">เพราะการแสดงออกทำให้คนอ่านได้ร่วมมีประสบการณ์ไปกับตัวละครด้วย
(เหมือนนั่งอยู่ด้วยกัน?) แต่ที่จริงสองวิธีนี้มีประโยชน์ทั้งคู่นะครับ
และเหมาะกับสถานการณ์ที่ต่างกัน เพียงแต่ว่าการ </span>show<span lang="TH"> (แสดง) ให้คนอ่านเห็นเองนี่
บางทีคนเริ่มเขียนใหม่ๆ อาจจะรู้สึกติดขัด ไม่รู้จะแสดงออกมายังไง พอนึกไม่ออกก็หันไป
</span>tell<span lang="TH"> (บอกออกไปโต้งๆ) ตำราเลยเน้นจุดนี้กันมาก</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">คุณพีทก็มีปัญหาเดียวกันครับ รู้ล่ะว่าอยากจะโชว์
แต่จะโชว์ยังไงล่ะ</span>!</div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">สัปดาห์นี้เลยตั้งโจทย์ให้ตัวเองฝึก ลองดูซิว่า
เราจะสื่อความรู้สึกของตัวละครด้วยการแสดงออกของเขายังไง
โดยไม่ต้องบอกความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: blue;"><span lang="TH">โจทย์ฝึกเขียน </span>–<span lang="TH">
สื่อความรู้สึกด้วยการแสดงออก</span></span></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: blue;"><span lang="TH">เขียนบรรยายความรู้สึกของตัวละครหนึ่งคน
โดยไม่บอกตรงๆ ว่าตัวละครนั้นรู้สึกอะไร แต่ให้ตัวละครแสดงออกมาให้คนอ่านรับรู้
(ความยาว 5 – 15 บรรทัด)</span></span></blockquote>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<span lang="TH">ใครสนใจมาร่วมฝึกเขียนด้วยกันนะครับ</span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-57917797576148915972014-11-18T03:12:00.001+07:002014-11-19T05:15:30.386+07:00โจทย์ฝึกเขียน – ความรู้สึกกับประสาทสัมผัส<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">หนึ่งในกิจกรรมที่คุณพีทตั้งใจว่าจะทำสัปดาห์ละครั้งคือการฝึกเขียนครับ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">การเขียนนิยายออกมาเป็นเรื่องนี่ นอกจากจะใช้
(1) ทักษะในการสร้างเรื่องราว และ (2) ทักษะในการเล่า แล้วก็ยังต้องใช้ (3)
ทักษะทางภาษา หยิบจับคำมาเรียงเป็นประโยค เป็นย่อหน้า
เพื่อสื่อเรื่องที่เล่านั้นให้ไปถึงจิตใจคนอ่านด้วย</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">พอไม่ได้เขียนนานๆ เข้าก็รู้สึกเลยครับว่า ฝืด</span>!
<span lang="TH">นึกคำไม่ออก เขียนประโยคไม่ถูก บางทีมีสิ่งที่อยากบอก
แต่พอเขียนออกมาเป็นประโยคแล้ว มันไม่ตรงกับที่ต้องการซะทีเดียว</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">เลยทำให้รู้ว่า
ทักษะการใช้ภาษาเองก็ต้องฝึกฝนเหมือนกัน ยิ่งฝึกมาก เราก็ยิ่งใช้ภาษาได้คล่อง
และสื่อเรื่องที่อยากเล่าออกมาได้ตรงเป้าตรงใจมากที่สุด</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">คุณพีทก็เลยคิดว่า
แต่ละสัปดาห์จะตั้งโจทย์ให้ตัวเองฝึกเขียนหนึ่งข้อ โดยเน้นที่การใช้ภาษานี่แหละ
(การสร้างเรื่องเล่าเรื่องไปว่ากันตรงอื่น) ถ้าเราฝึก </span>“<span lang="TH">แค่สัปดาห์ละครั้ง</span>”<span lang="TH"> แต่ละเดือนๆ ก็คงคล่องขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ไหนๆ ก็ตั้งโจทย์แล้ว
จะฝึกคนเดียวก็ออกจะน่าเสียดาย ก็เลยเอามาแบ่งปันตรงนี้ครับ
เผื่อว่าใครสนใจจะร่วมวงลงสนามด้วยกัน
อย่างน้อยที่สุดถ้าใครเก่งอยู่แล้วก็ยังเป็นการลับฝีมือไว้ให้คมตลอดเวลา</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">กติกามีข้อเดียวคือ อ่านโจทย์แล้วเขียน
เขียนเองอ่านเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอวดใคร แต่ถ้าใจดีอยากแบ่งปันหรือผลัดกันดู
จะมาโพสต์ไว้เป็นคอมเมนต์ที่นี่ก็ได้ครับ หรือจะโพสต์ในบล็อก ในเฟซบุ๊ค
ในเว็บส่วนตัวตามสะดวก แล้วเอาลิงก์มาโพสต์ที่นี่เรียกคุณพีทไปดูก็ได้ครับ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: blue;"><span lang="TH">โจทย์ฝึกเขียน </span>–<span lang="TH">
ความรู้สึกกับประสาทสัมผัส</span><span lang="TH"> </span></span></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: blue;"><span lang="TH">เขียนบรรยายความรู้สึกของตัวละครหนึ่งคน
จะเป็นความรู้สึกอะไรก็ได้
แต่ให้ใช้ประสาทสัมผัสอย่างน้อยสี่ในห้าอย่างมาช่วยประกอบการบรรยาย ความยาวตั้งแต่
5 </span>–<span lang="TH"> 15 บรรทัด</span><span lang="TH"> </span> </span></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH" style="color: blue;">(ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แก่ ตา-เห็นภาพ
หู-ได้ยินเสียง จมูก-ได้กลิ่น ลิ้น-รู้รส สัมผัสทางกาย-ร้อน เย็น แข็ง อ่อน เปียก
แห้ง ฯลฯ)</span></blockquote>
<br />
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ขอให้สนุกกับการฝึกเขียนครับ</span><br />
<span lang="TH"><br /></span>
<br />
<hr />
<span lang="TH"><br /></span><span lang="TH">คุณพีททำการบ้านเสร็จแล้วครับ ตอนเขียนโจทย์นึกว่าง่าย เอาเข้าจริงยากชะมัด ฮ่าๆ</span><br />
<span lang="TH"><br /></span>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH"><div class="MsoNormal">
<span lang="TH">พิถยะใจหายวูบ... ไม่มี</span>! <span lang="TH">บนโต๊ะไม่มี</span>! <span lang="TH">หลังตู้ก็ไม่มี</span>! <span lang="TH">ที่หัวเตียงก็ไม่อยู่</span>! <span lang="TH">เขาหมุนรอบตัวจนขาแทบจะพันกัน กลิ่นการบูรยังแผ่วจางอยู่ในห้อง แล้วมันจะหายไปได้ยังไง</span>!</div>
</span></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH"><div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ชายหนุ่มคว้าชายผ้าปูเตียงตลบขึ้น เสียงกริ๊กดังมาจากซอกข้างฝา
พิถยะหันขวับใจเต้นแรง คุกเข่าลงแนบตามอง... ไม่เห็นอะไร...
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจพรู่ใหญ่ ยังไงล่ะนี้? หันซ้ายหันขวา
จะขยับเตียงก็ติดกองเอกสารที่เขาฝากไว้ชั่วคราวจนเต็มพื้น ไฟฉายก็ไม่รู้อยู่ไหนไม่อยากจะเสียเวลาหา
อย่ากระนั้นเลย ห้องเราคงไม่มีงูหรอกนะ...</span></div>
</span></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH"><div class="MsoNormal">
<span lang="TH">เขาทำใจกล้าค่อยๆ สอดแขนเข้าไปใต้ขอบเตียงตรงที่วางชิดฝา
ยังไม่ทันควานหานิ้วก็ไปโดนผิวเรียบแข็งโค้งขนาดกำลังพอดีมือ
ชายหนุ่มยิ้มร่าตาโตใจเต้นแรงคว้าหมับ</span></div>
</span></blockquote>
<blockquote class="tr_bq">
<span lang="TH"><div class="MsoNormal">
<span lang="TH">เจอแล้ว</span>! <span lang="TH">ยาหม่องตรากระต่ายขวดโปรดคู่ใจ</span>!</div>
</span></blockquote>
<br />
เพื่อนๆ เขียนแล้วเป็นไงมั่งครับ เอามาแบ่งกันอ่านบ้างก็ยินดีนะครับ จะได้เห็นหลายๆ แบบแลกเปลี่ยนกันครับ</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com26tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-17432129168068646762014-11-17T01:21:00.000+07:002014-11-17T01:21:14.192+07:00แค่สัปดาห์ละครั้ง<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">หายไปเกินปี ข้อแก้ตัวนี่มีเยอะเลย
แต่เสียดายหน้ากระดาษ (หรือหน้าจอ)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">เรื่องการสร้างไอเดียเพื่อเริ่มเขียนนิยายเรื่องใหม่ยังค้างไว้ก่อนนะครับ
หรือจะจบไปดื้อๆ แค่นั้นดี ฮ่าๆ ปีใหม่มาเริ่มเรื่องใหม่ๆ กันดีกว่า</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ปัญหาหนึ่งที่คนเยอะแยะเจอเหมือนๆ กันคือ
มีอะไรที่อยากทำ แต่ไม่ได้ทำซักที บางทีตอนปีใหม่ตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างฮึกเหิม
พอหมดปีถึงพบว่าลืมไปซะสนิทก็มี</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">นักเขียนและคนอยากเขียนก็เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
บางทีสิ้นปีแล้วมานั่งเกาคางสงสัย ว่าทำไมปีนี้เขียนได้น้อยจัง หรือไม่จบซักเรื่องเลย
(อันนี้อย่างเศร้า)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">เมื่อวันก่อนคุณพีทเกิดความคิดขึ้นมาอย่างนึงครับ
ตอนที่เราฮึกเหิมมากๆ ตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรซักอย่างติดๆ กันหลายๆ วัน วันละหลายๆ
ชั่วโมง งานมันก็คืบหน้าดีน่าชื่นใจ แต่พอมีเรื่องอื่นวนเวียนเข้ามา งานอื่นบ้าง
คนอื่นบ้าง สิ่งอื่นบ้าง ไอ้ที่เคยได้ทำต่อเนื่องก็แผ่วไป หรือหายไปเลย
(อันนี้อย่างบ่อย)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">คุณพีทก็เลยนึกขึ้นมาว่า เอ...
ถ้าเราพยายามหาเวลาทำสิ่งที่อยากทำนั่นให้ได้แค่สัปดาห์ละครั้ง ไม่ต้องเยอะ
ไม่ต้องนาน แต่ทำให้ได้ทุกสัปดาห์ รวมๆ กันแล้วนี่ แต่ละปีๆ
ก็คงได้เยอะอยู่เหมือนกันนะ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">แล้วตอนสิ้นปีก็จะไม่ได้ต้องมาเกาคางสงสัย
ว่าทำไมปีนี้ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ถ้าสัปดาห์นึงตั้งใจเขียนให้ได้หนึ่งบท ปีนึงก็ได้เหนาะๆ
แล้วห้าสิบบท ได้เรื่องขนาดกลางสองเรื่องเลยนะนั่น</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ถ้าสัปดาห์นึงท่องศัพท์ภาษาอังกฤษให้ได้แค่สิบคำ
ปีนึงก็ซัดเข้าไปแล้วห้าร้อย ไม่เก่งคราวนี้แล้วจะเก่งคราวไหน</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ถ้าสัปดาห์นึง... (โปรดเติมข้อความตามใจชอบ)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">คุณพีทเกิดความคิดขึ้นมาแล้วก็นั่งเขียนลงกระดาษ
ช่วงนี้มีอะไรอยากทำเยอะเหลือเกิน จนจะแบ่งเวลาไม่ถูก แถมไอ้อะไรๆ
ที่เคยตั้งใจเอาไว้ก่อนมันก็แผ่วหายไป (ตามวิถีธรรมชาติเอวัง)
ส่วนนึงเป็นเพราะตอนฮึกเหิมเราตั้งเป้าไว้สูงด้วย (เช่น
เดินออกกำลังสัปดาห์ละสามครั้ง) พอมีงานสนุกโผล่เข้ามาก็ติดพัน
ผัดผ่อนตัวเองว่าขอทำงานก่อน ไว้ค่อยเดินวันหลัง (พอวันหลังก็ฝนตกไม่ยอมเดินอีก)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">อย่ากระนั้นเลย คราวนี้ลองดูอีกครั้ง
ตั้งเป้าไว้ </span>“<span lang="TH">แค่สัปดาห์ละครั้ง</span>”<span lang="TH">
เอาแค่นี้แหละ ไม่ต้องเยอะ แต่อย่าเบี้ยว ดูซิว่าจะรอดได้ซักกี่สัปดาห์
(นี่ไม่ได้ปรามาสหน้าตัวเองนะ แต่สงสัยจริงๆ)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าไม่สำเร็จเราก็หาทางอื่นต่อไป
แต่ถ้ามันพอจะใช้ได้ ก็คงได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่น้อยเหมือนกัน</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ลองด้วยกันมั้ยครับ </span>“<span lang="TH">แค่สัปดาห์ละครั้ง</span>”</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-68566088201935334362013-07-25T02:50:00.001+07:002013-07-25T02:51:04.886+07:00ไอเดียเริ่มเรื่อง (3) เหตุการณ์ยังเป็นตอนต่อของหัวข้อนี้นะครับ<br />
<blockquote class="tr_bq">
<a href="http://pitandorn.blogspot.hu/2013/07/blog-post_19.html" target="_blank">การสร้างไอเดียเพื่อเริ่มนิยายเรื่องใหม่</a></blockquote>
บล็อกนี้เป็นหัวข้อย่อยที่ 3 ครับ สองหัวข้อแรกคือ (1) <a href="http://pitandorn.blogspot.hu/2013/07/1.html" target="_blank">สถานที่และบรรยากาศ</a> (2) <a href="http://pitandorn.blogspot.hu/2013/07/2.html" target="_blank">ตัวละคร</a><br />
<br />
ในความเห็นของคุณพีทซึ่งเล่าไว้ในบล็อกที่แล้ว การสร้างไอเดียจาก "เหตุการณ์" กับ "ตัวละคร" มีระดับความง่ายใกล้เคียงกันครับ บางคนอาจจะชอบ/ถนัดที่จะเริ่มจากตัวละคร บางคนอาจจะชอบ/ถนัดที่จะเริ่มจากเหตุการณ์ แต่สองอย่างนี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก พอเริ่มคิดจากหัวข้อหนึ่ง มันก็มักจะพาเราไปคิดอีกหัวข้อตามไปด้วย<br />
<br />
เพราะตัวละครเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ หรือไม่ก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือบางทีก็ทั้งสองอย่างเลยครับ (เรียกว่าสองเด้ง)<br />
<br />
เวลาคิดไอเดียเหตุการณ์นี่ มันมีลักษณะของเหตุการณ์อยู่สองแบบนะครับ ไม่มีผิดไม่มีถูก มีประโยชน์ทั้งคู่ แต่ในลักษณะที่ต่างกัน<br />
<br />
แบบแรกคือลักษณะที่เป็นเหตุการณ์หนึ่งเดียว มีการกระทำหรือมีสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว ไม่ซับซ้อน มักจะกินเวลาไม่นาน อาจจะมีคนที่เกียวข้องคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ แต่ทุกคนจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นพร้อมๆ กัน แต่อาจจะคนละแง่มุมกัน<br />
<br />
ตัวอย่างเช่น<br />
<ul>
<li>สมศรีสะดุดพื้นตรงประตูทางเข้าตึกสำนักงาน (คนเดียว ระยะเวลาสั้นมาก แค่ชั่วนาที)</li>
<li>สมศรีสะดุดพื้นตรงประตูทางเข้าตึกสำนักงาน ถลาไปซบอกสมชาย (ระยะเวลาเท่าเดิม แต่มีสองคนเกี่ยวข้อง)</li>
<li>สมศรีขับรถชนท้ายสมชาย (สองคน ระยะเวลายาวขึ้นมาหน่อย ประมาณสองสามนาที)</li>
<li>สมศรีหักรถหลบคนข้ามถนนไปชนรถสมชายที่สวนมา (สามคน)</li>
<li>สมศรีว่ายน้ำที่สระของโรงแรม (หนึ่งคน ระยะเวลาอาจจะเป็นชั่วโมง แต่กิจกรรมหลักๆ มีอย่างเดียว)</li>
<li>สมศรีไปงานแต่งงานของอดีตคนรัก (คนหลายร้อย ระยะเวลาหลายชั่วโมง สมศรีอาจจะทำอะไรหลายอย่าง เช่น กิน ดื่ม นั่ง ยืน เดิน แต่โดยรวมๆ คืออยู่ที่ห้องจัดงาน) </li>
</ul>
เป็นต้น<br />
<br />
แบบที่สอง เราอาจจะนึกถึง "เหตุการณ์" ที่ฟังเผินๆ เหมือนเป็นเหตุการณ์เดียว แต่ที่จริงเป็นคำสรุปของเหตุการณ์ย่อยหลายอย่างที่ประกอบกัน เช่น<br />
<ul>
<li>สมปองลักพาตัวสมศรี (พูดเหมือนเป็นเหตุการณ์เดียว แต่จริงๆ มีหลายขั้นตอน อาจจะกินเวลาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงไปจนถึงเป็นวัน พูดเหมือนมีคนเกี่ยวข้องแค่สองคน แต่จริงๆ มีตัวประกอบคนอื่นๆ เข้ามาร่วมลงมือด้วย)</li>
<li>สมปองไต่เต้าตำแหน่งในบริษัทโดยการกำจัดคู่แข่งหลายคน (เป็นการสรุปเหตุการณ์ย่อยหลายเหตุการณ์ที่มีลักษณะเหมือนกัน คือกำจัดทีละคน และเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นลำดับ มีผลให้สมปองมีตำแหน่งที่สูงขึ้น)</li>
<li>สมชายสืบหาตัวคนขโมยเอกสารลับของท่านเจ้าคุณ (ประกอบด้วยเหตุการณ์ย่อยหลายอย่าง หลายขั้นตอน เกี่ยวข้องกับคนหลายคน และใช้เวลาหลายวันหรือเป็นเดือน)</li>
</ul>
เหตุการณ์สองแบบนี้บางทีก็ไม่ได้แยกแยะกันเด็ดขาดนะครับ อาจจะมีช่วงรอยต่อที่แยกได้ยากว่ามันจะเป็นแบบแรกหรือแบบที่สองกันแน่ ถ้าเราคิดไม่ออกว่าเป็นแบบไหน แสดงว่าเหตุการณ์นั้นอาจจะมีส่วนประกอบย่อยๆ หลายส่วนหรือมีความซับซ้อน ก็ถือว่าเป็นแบบที่สองไปเลยแล้วกันนะครับ ไม่เสียเวลาดี<br />
<br />
ตัวอย่างของเหตุการณ์แบบนี้ก็เช่น สมศรีไปงานแต่งงานของอดีตคนรัก ถ้าใจเราคิดแค่ว่า สมศรีเจ็บช้ำน้ำใจที่ต้องไปเห็นคนรักเก่ากำลังจะมีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ อันนี้ก็ไม่ซับซ้อน สมศรีจะยืน เดิน นั่ง นอน (เอ๊ะ ไม่ดี) กิน หรือดื่ม ก็ไม่มีความแตกต่าง จุดสำคัญคือ สมศรีเจ็บปวดตลอดเวลางาน ก็เป็นแบบแรก เจ็บปวดลูกเดียว<br />
<br />
แต่ถ้าในการไปงานแต่งงานนี้ เราคิดว่ามันจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันระหว่างสมศรีกับเจ้าบ่าว หรือกับเจ้าสาว อันนี้ก็อาจจะขยายขึ้นมาเป็นแบบที่สอง คือเริ่มมีส่วนประกอบหลายอย่างซับซ้อนขึ้น สมศรีจะแกล้งเจ้าสาวหรือเปล่า หรือสมศรีจะปีนขึ้นเวทีไปฉีกหน้าเจ้าบ่าว หรือสมศรีจะไปยุแยงใคร เป็นต้น<br />
<br />
เวลาเราคิดหาเหตุการณ์หรือสร้างเหตุการณ์ เราไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกครับ ว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบแรกหรือแบบที่สอง แบบไหนก็คิดไว้ก่อน แล้วค่อยมาเลือก มาคิดต่อ และมาปรับเปลี่ยนทีหลัง<br />
<br />
ตอนที่เราเริ่มคิดต่อกับเหตุการณ์ที่ปิ๊งขึ้นมานี่แหละครับ ถ้าเรามองออกว่าเหตุการณ์นั้นเป็นแบบหนึ่งเดียวหรือซับซ้อน จะทำให้เรามองเห็นช่องทางในการคิดต่อได้หลากหลายขึ้น และอาจจะช่วยแก้ปัญหาสำหรับคนที่รู้สึกว่า "ตัน" คิดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนิจ<br />
<br />
ถ้าเหตุการณ์เป็นแบบแรก คือเป็นเหตุการณ์หนึ่งเดียว เวลาเราคิดสร้างไอเดียต่อ เราก็จะมีคำถามช่วยคิดที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ<br />
<br />
1. เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร (โดยใคร เพราะใคร เพื่ออะไร ฯลฯ) คือมองอดีต<br />
<br />
2. เหตุการณ์นั้นส่งผลอย่างไรต่อไป (และส่งผลกับใคร) คือมองอนาคต<br />
<br />
แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์แบบหลังที่ซับซ้อน เราก็จะมีคำถามช่วยคิดเพิ่มขึ้นมาอีกข้อคือ<br />
<br />
3. เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอย่างไรในรายละเอียด (และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง) คือมองกระบวนการ<br />
<br />
เวลาเราสร้างไอเดียเหตุการณ์ บางทีเราอาจจะคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นกับใครก็ได้นะครับ บางทีเรามีคิดต่อทีหลังว่า ถ้าเราอยากให้เหตุการณ์เกิดขึ้นในลักษณะนี้ แล้วมันควรจะเกิดขึ้นกับใครถึงจะรุนแรงที่สุด ถึงจะสนุกที่สุด ถึงจะลุ้นที่สุด<br />
<br />
ตัวอย่างเช่น อยากเขียนให้มีการลักพาตัว คนที่ถูกลักพาตัวจะเป็นใครดีล่ะ จะเป็นลูกสาวเศรษฐี หรือจะเป็นดาราหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองของสาวๆ หรือจะเป็นครูโรงเรียนประถมที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่ารวย หรือจะเป็นเมียน้อยของเสี่ยใหญ่<br />
<br />
ถ้าเราอยากให้การลักพาตัวออกแนวรันทด คนที่ถูกลักพาตัวก็จะต้องได้รับผลกระทบมากหน่อย ถ้าเป็นคนรวยอาจจะดูสะเทือนใจไม่พอ เราอาจจะอยากให้เป็นคนจนที่ไม่มีเงินเรียกค่าไถ่ (แต่โจรก็ไม่ยอมเชื่อ) อาจจะเป็นครูประถมที่กำพร้าอยู่กับยายสองคน พอถูกลักพาตัวก็เดือดร้อนกันไปหมด<br />
<br />
ถ้าเราอยากให้ออกแนวผจญภัย แอคชั่น แสดงการต่อสู้เอาตัวรอดของนางเอก ก็อาจจะต้องเลือกให้เป็นคนที่มีบุคลิกเด็ดเดี่ยว ไม่จำเป็นต้องบู๊เก่งมาก่อนก็ได้ อาจจะต้องต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณ หรือสู้ด้วยสมองแทนที่จะเป็นร่างกาย<br />
<br />
ถ้าอยากให้เป็นแนวฮา อาจจะลองลักพาตัวดาราหนุ่มเจ้าสำอางที่ไม่เคยพบความยากลำบาก และคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นแบบรุนแรงของเพื่อนสนิทเพลย์บอย เป็นต้น<br />
<br />
พอนึกถึงคนถูกลักพาตัวแล้ว ก็ต้องนึกถึงคนลักพาตัวควบคู่กันไป ว่าเขาคือใคร เกี่ยวข้องกับคนที่ถูกลักพาตัวหรือเปล่า มีเหตุผลหรือความต้องการอย่างไรถึงมาลักพาตัว เขาลงมือเอง หรือมีลูกน้อง หรือมีการว่าจ้าง<br />
<br />
บางทีเราไม่จำเป็นต้องเอาทุกเหตุำการณ์ที่นึกออกมานั่งคิดรายละเอียดจนทะลุปรุโปร่งก็ได้นะครับ ถ้าคิดออกก็คิดไปเรื่อยๆ แต่ถ้ายังคิดไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องฝืน เพราะขั้นนี้คือการหาแนวทาง หาไอเดีย ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ตันตรงไหนก็ทิ้งไว้แค่นั้นก่อน หันไปมองไอเดียอื่นๆ เหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่คิดไปแล้วเลยก็ยังได้ เอามาคิดต่อยอดแบบเดียวกัน คิดไ้ว้หลายไอเดียก็ไม่เสียหาย บางไอเดียอาจจะไปด้วยกันได้ บางไอเดียอาจจะขัดแย้งกันอย่างแรงจนอยู่ในเรื่องเดียวกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เก็บไว้ใช้ในเรื่องอื่นต่อไป แต่ขั้นนี้คิดอะไรได้ก็จดไว้ก่อน<br />
<br />
ส่วนตัวคุณพีทเองไม่ได้ถนัดเรื่องการคิดเหตุการณ์เลยครับ คุณพีทแค่คิดไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ว่าถ้ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มันจะ (1) มีสาเหตุที่มาจากอะไร และ (2) มันจะทำให้เกิดอะไรต่อไป<br />
<br />
ในแต่ละคำถาม คุณพีทก็ไม่ได้คิดหาคำตอบหลายแบบมากมาย ถ้าเจอคำตอบที่คิดว่าพอใช้ได้แล้ว คุณพีทก็คิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เลย นักเขียนบางคนจะไม่ใช้วิธีนี้นะครับ แต่จะหาคำตอบหลายๆ คำตอบก่อน แล้วค่อยมาเลือก อันนี้แล้วแต่วิธีการทำงานและความถนัดของแต่ละคนนะ ของคุณพีทเป็นแบบคิดไม่ค่อยออก ถ้าคิดอะไรออกก็เก็บไว้ก่อน ฮ่าๆ<br />
<br />
รายงานต่อจากบล็อกที่แล้วนะครับ พอคุณพีทเริ่มมีรายการตัวละครสองสามกลุ่ม (แต่ยังไม่มีชื่อนะ ยังคิดไม่ออก) คุณพีทก็มองหาเหตุการณ์ที่จะให้ตัวละครเหล่านี้มาเกี่ยวข้องกันด้วยพร้อมๆ กัน<br />
<br />
เช่น คุณพีทจะให้พระเอกอพยพย้ายบ้านมาอยู่ในเมืองที่เป็นสถานที่หลักของเรื่อง การอพยพย้ายบ้านนี่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งล่ะ เป็นแบบที่สองด้วย เพราะมันสามารถมีรายละเอียดข้างในได้อีก<br />
<br />
และเนื่องจากจะเป็นนิยายแฟนตาซีผจญภัย ในระหว่างการย้ายบ้าน พระเอกก็น่าจะต้องเจอ "ภัย" บางอย่างซะเลย คนอ่านจะได้รู้ตัวแต่เนิ่นๆ คุณพีทก็มานั่งนึกว่า "ภัย" อะไรดีน่าจะเหมาะ เช่น เจอผี เจอสัตว์ป่า เจอโจรสลัด เจอกองทัพประเทศศัตรู หรือเจอหลายๆ อย่างเลยดี<br />
<br />
พอเริ่มเลือก "ภัย" ก็มานั่งนึกว่า พระเอกเราต้องรอดนะ เพราะไม่งั้นเรื่องจะจบไว้ แต่จะให้รอดยังไง เอาแบบง่ายๆ พอสร้างบรรยากาศก่อน หรือจะเอาแบบหืดขึ้นคอไปเลย แต่เนื่องจากอยากให้พระเอกย้ายบ้านสำเร็จ ถ้าผจญภัยตอนนี้ยาวนานมาก มีหวัง 120 หน้ายังไม่ถึงเมืองแน่เลย ตรงนี้จะเลือกความโหดแค่ไหนดี<br />
<br />
ตอนนี้คุณพีทพอมีไอเดียเรื่อง "ภัย" ในขั้นต้นแล้ว แต่เรื่องทั้งเรื่องยังต้องมีเหตุการณ์หรือ "ภัย" อื่นๆ อีก ก็กำลังค่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ ครับ บางทีพอคิดหา "ภัย" ได้อันหนึ่งแล้ว เราก็เอาไอเดีย "ภัย" นั้นมาดัดแปลงหรือมาหาไอเดีย "ภัย" อื่นต่ออีกก็ได้ด้วย เช่น<br />
<blockquote class="tr_bq">
เจอสัตว์ป่าตัวเดียว --> เจอสัตว์ป่าหลายตัว<br />
<br />
เจอสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง --> เจอสัตว์ป่าชนิดอื่น<br />
<br />
เจอสัตว์ป่าชนิดเดียว --> เจอสัตว์ป่าหลายชนิด<br />
<br />
เจอสัตว์ป่าทีเดียว --> เจอสัตว์ป่าหลายทีต่อเนื่องกัน</blockquote>
ตอนนี้คุณพีทกำลังนึกถึงอีกกรณีคือ เจอสัตว์ชนิดเดิม แต่เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากเดิม และส่งผลต่อคนที่เกี่ยวข้องแตกต่างจากเดิมด้วยครับ <br />
<br />
คุณพีทขอเวลานั่งคิดนอนคิดเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วบล็อกต่อไปเราจะมาคุยกันถึง "เรื่องราว" นะครับ ว่ามันต่างจาก "เหตุการณ์" ยังไง ทำไมคุณพีทถึงแยกเป็นอีกหัวข้อนึงAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-65827722711815004472013-07-22T04:29:00.000+07:002013-07-22T04:29:51.603+07:00ไอเดียเริ่มเรื่อง (2) ตัวละครยังคงอยู่ในเรื่องนี้นะครับ<br />
<blockquote class="tr_bq">
<a href="http://pitandorn.blogspot.hu/2013/07/blog-post_19.html" target="_blank">การสร้างไอเดียเพื่อเริ่มนิยายเรื่องใหม่</a></blockquote>
บล็อกนี้เป็นหัวข้อที่ 2 หลังจากคุยเรื่องสถานที่และบรรยากาศไปแล้ว<br />
<br />
ย้ำอีกรอบ (จากบล็อกข้างบน) คือ ในขั้นนี้เราคุยกันแค่การสร้างไอเดียเพื่อเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่ เวลาเราพูดถึงตัวละคร ไม่ได้หมายความว่า เราต้องสร้างตัวละครทั้งหมดทุกคนออกมาอย่างละเอียดในขั้นนี้นะครับ<br />
<br />
ในขั้นนี้เราจะดูแค่ว่า ตอนคิดสร้างไอเดียนิยายเรื่องใหม่เนี่ย การคิดเกี่ยวกับตัวละครจะมาช่วยเราได้อย่างไรบ้าง<br />
<br />
ที่จริง ถัดจากสถานที่และบรรยากาศซึ่งเห็นภาพได้ง่ายและชัดเจนที่สุดแล้ว หัวข้อที่ 2 ตัวละคร กับหัวข้อที่ 3 เหตุการณ์ มีระดับความง่ายในการคิดใกล้เคียงกันครับ ใครถนัดอันไหนมากกว่าก็จะรู้สึกว่าเริ่มคิดจากตรงนั้นง่ายกว่า ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับจากตัวละครก่อนแล้วไปหาเหตุการณ์เสมอไป<br />
<br />
ส่วนตัวคุณพีทชอบขลุกอยู่กับตัวละครมากกว่าด้วย แล้วก็อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกคุยเรื่องนี้ก่อนก็คือ ในทุกเหตุการณ์จะต้องมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้อง พอตอนคิดไอเดียเหตุการณ์ เราก็ต้องย้อนกลับมาถามว่า "ใคร" อยู่ในเหตุการณ์นั้นอยู่ดี ก็เลยคิดว่าคุยตัวละครก่อนแล้วกัน (แต่เวลาคิด จะคิดอันไหนก่อนก็ได้ครับ)<br />
<br />
ตัวละครช่วยในการสร้างไอเดียนิยายอย่างมาก (ถึงมากที่สุด) เพราะนิยายคือเรื่องราวของตัวละคร<br />
<br />
ถ้าไม่มีตัวละคร ก็ไม่มีนิยาย ไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีเรื่องราว และ... ไม่มีนิยาย<br />
<br />
ตัวละครมีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในสองแง่มุมหลักๆ คือ (1) เป็นผู้กระทำหรือก่อให้เกิดเหตุการณ์ และ (2) เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ (ไม่ว่าจะตัวเองทำหรือคนอื่นทำ)<br />
<br />
ในขั้นของการสร้างไอเดียสำหรับนิยายเรื่องใหม่ คำถามแรกสุดที่ช่วยในการคิดก็คือ เราอยากจะเล่าเรื่องของใคร?<br />
<br />
เช่น เราอยากจะเล่าเรื่องของหญิงสาวที่แก่นแก้ว แสนซน กล้าหาญ ไม่ยอมลงให้ใคร แต่ลึกๆ ในใจหวาดกลัวผีเป็นที่สุด!<br />
<br />
หรือเรื่องของชายหนุ่มผู้อ่อนโยนเสียจนอ่อนนุ่ม ถูกคนอื่นมองว่าเป็นตุ๊ด ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาชอบผู้หญิง แต่ผู้หญิงกลับเห็นเขาเป็นแค่ "เพื่อนสาว" เสียนี่<br />
<br />
หรือเรื่องของหญิงชราที่เคยมีฐานะสูงส่ง แต่ต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต และต้องต่อสู้ชีวิตทั้งที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยแล้ว<br />
<br />
จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวไหน ก็สามารถใช้ตัวละครเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างไอเดียได้ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็นแนวรัก แนวตลกขบขัน แนวแอคชั่นตื่นเต้น แนวลึกลับสยองขวัญ แนวสืบสวน หรือแนวชีวิตหนักๆ<br />
<br />
ในขั้นนี้เราไม่จำเป็นต้องคิดและเค้นเอาข้อมูลทุกอย่างของตัวละครออกมาให้ครบทุกด้าน แค่พอให้เห็นจุดสำคัญๆ ที่ช่วยให้เราสร้างไอเดียต่อได้ก็พอ หาจุดเด่นๆ ที่เราอยากเขียน แล้วคิดต่อไปถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจุดเด่นนั้น พอเราิคิดไปถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวแล้ว มันก็มักจะมาช่วยเราให้คิดต่อได้ว่า ตัวละครต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมอย่างไร เรื่องถึงจะเกิดขึ้นแบบที่เราต้องการ<br />
<br />
จากตัวอย่างหญิงสาวแก่นแก้วกล้าหาญแต่กลัวผี สมมุติว่าคิดต่อไปที่เหตุการณ์ให้เกี่ยวข้องหรือใช้ประโยชน์จากลักษณะของตัวละคร เธอก็อาจจะโดนท้าทายให้เข้าไปพิสูจน์ความลึกลับของบ้านผีสิงที่เล่าลือกัน ทีนี้เราก็คิดต่อได้หลายทางเลย แล้วแต่ว่าเราจะชอบทางไหน<br />
<br />
เช่น ถ้าเป็นแนวตลกขบขัน บางทีบ้านนั้นอาจจะไม่มีผีเลยสักนิด แต่หญิงสาวจะหลุดแสดงอาการปอดแหกออกมาให้เพื่อนเห็น ทั้งที่พยายามปกปิดอย่างที่สุด<br />
<br />
แต่ถ้าเป็นแนวลึกลับสยองขวัญ บ้านนั้นคงต้องมีผีจริงๆ แล้วล่ะ แล้วพอมีเหตุการณ์ลึกลับเกิดขึ้นในบ้าน หญิงสาวผู้นั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จะพ่ายแพ้ต่อการท้าทายหนีไปก่อน หรือจะสติแตกประสาทผวา หรือจะรวบรวมความกล้าหาคำตอบอะไรบางอย่างได้สำเร็จ<br />
<br />
เวลาเราคิดถึงตัวละครและสิ่งที่ตัวละครต้องเจอหรือต้องทำ บางทีก็จะทำให้เรามองเห็นว่าต้องมีตัวละครอื่นๆ เพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยเติมเต็มเหตุการณ์หรือเรื่องราว ไม่งั้นเรื่องมันก็เกิดขึ้นไม่ได้<br />
<br />
อย่างในตัวอย่างข้างต้น เมื่อมีคนถูกท้า ก็ต้องมีคนท้า แล้วคนท้าจะเป็นใคร สำคัญแค่ไหน เกี่ยวข้องกับหญิงสาวอย่างไร ทำไมเธอถึงต้องให้ความสำคัญกับการท้าทายนี้ ทำไมถึงเลี่ยงไม่ได้ คนท้าอาจจะเป็นชายหนุ่มที่เธอแอบชอบ หรืออาจจะเป็นชายหนุ่มที่แอบชอบเธอแต่เธอไม่ชอบ หรืออาจจะเป็นหญิงสาวอีกคนที่เป็นคู่แค้นกันมานาน หรืออาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่<br />
<br />
พอเราคิดนู่นนี่นั่นไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มเกิดไอเดียว่า ในนิยายของเรามันอาจจะมีเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นได้บ้าง บางทีคิดไปแล้วไม่ถูกใจ เราก็อาจจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ ในขั้นนี้เรายังเปลี่ยนได้หมด ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร เหตุการณ์ หรือเรื่องราวครับ<br />
<br />
ส่วนของคุณพีทเอง เริ่มต้นคิดจากตัวละครคนเดียวครับ เนื่องจากเป็นแนวแฟนตาซีผจญภัย และคุณพีทอยากให้ตัวละครค้นพบโลกแฟนตาซีนี้ไปพร้อมๆ กันคนอ่าน ดังนั้นพระเอกจึงไม่ได้เติบโตขึ้นมาในเมืองที่เป็นสถานที่หลักของเรื่อง แต่จำเป็นต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง<br />
<br />
แล้วทำไมต้องย้ายมาเมืองนี้ล่ะ? ก็ต้องหาเหตุผลให้พระเอก พอเริ่มหาเหตุผล ก็ต้องค่อยๆ ชวนตัวละครคนอื่นๆ เข้ามาร่วมวงกัน ไม่งั้นเดี๋ยวพระเอกจะลอยตุ๊บป่องๆ อยู่คนเดียวในเรื่อง<br />
<br />
คุณพีทนั่งคิดนอนคิดมาหลายวัน จากตัวละคร ไปเหตุการณ์ แล้วกลับมาตัวละคร แล้วไปเหตุการณ์อีก ตอนนี้นับคร่าวๆ ได้ตัวละครสำคัญๆ มาหลายคนแล้วครับ ยังไม่ได้แยกแยะชัดเจนว่าใครบ้างจะเป็นตัวละครหลัก ใครจะเป็นตัวละครรอง และใครจะเป็นตัวประกอบ เพราะมันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และเรื่องราว ว่าใครจะมีบทบาทสำคัญแค่ไหนในเรื่อง<br />
<br />
เท่าที่ค้นพบคร่าวๆ ตอนนี้มีพระเอก (หนึ่งคน) ผู้ช่วยพระเอก (หนึ่งคน) ผู้อาวุโสที่ปรึกษาของพระเอก (หนึ่งคน) แล้วก็มีพ่อของพระเอก (หนึ่งคน) แม่ของพระเอก (หนึ่งคน) และคนทำงานในบ้านอีกจำนวนหนึ่ง อันนี้ฝั่งพระเอก<br />
<br />
(เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ใช่แนวรัก เลยไม่มีพระเอกคนที่สองนะครับ มีคนเดียวพอแล้ว)<br />
<br />
แล้วก็ต้องมีฝั่งอุปสรรค ต้องมีคนที่คอยสร้างอุปสรรคให้พระเอก (หนึ่งคน) ต้องมีคู่แข่งพระเอก (หนึ่งคน ไม่งั้นพระเอกจะสบายไป) และกำลังคิดว่าอาจจะมีตัวละครในระดับเดียวกันกับพระเอกและคู่แข่ง ที่เป็นชนวนให้เกิดการแข่งขันขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อนพระเอกเสียทีเดียว เป็นคนเพิ่มความยุ่งยากเสียมากกว่า (หนึ่งคน) และในบรรดาอุปสรรคเหล่านี้ ก็ต้องมีลูกน้องหรือผู้รับใช้อีกจำนวนหนึ่ง<br />
<br />
เนื่องจากนิยายเรื่องนี้จะไม่ยาวมาก ประมาณ 120 หน้า เรื่องราวคงไม่ซับซ้อนมาก คุณพีทเลยคิดว่าเริ่มต้นจากแค่นี้ก่อน น่าจะเพียงพอสำหรับบทบาทหลักๆ ที่ทำให้เกิดการผจญภัยขึ้นได้ และทำให้มีอุปสรรคในการผจญภัยด้วย<br />
<br />
ส่วน "ภัย" ที่ต้องผจญนั้น จะเป็นอะไร ยากง่ายแค่ไหน ต้องมี "ผู้ร้าย" หรือเปล่า คุณพีทขอเวลาคิดเหตุการณ์กับเรื่องราวก่อนนะครับ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยจริงๆ นะเนี่ยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-5425856049608772882013-07-21T03:40:00.000+07:002013-07-21T03:40:05.502+07:00แก้ปัญหาปุ่มหายใน phpbb ตอนเปลี่ยนธีมกระดานนักอ่านที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์เมื่อก่อนเป็นสีม่วงครับ ชาวเว็บฟอร์เลยเรียกชื่อเล่นกันติดปากว่า "กระดานม่วง" คู่กับ "กระดานฟ้า" ซึ่งเป็นกระดานสำหรับเขียนนิยายในกิจกรรมแรลลี่ (ส่วนกระดานคุยทั่วไปที่เป็นกระดานหลักของเว็บ บางทีก็เรียกชื่อเล่นว่า "กระดานขาว"<br />
<br />
ทีนี้พอพี่ฟีลบกระดานเก่าทำใหม่หมด สีม่วงมันก็หายไปด้วย กลายเป็นสีฟ้าสด (ฟ้ามากกว่า "กระดานฟ้า" เดิมซะอีก) เลยถามกันว่าเปลี่ยนธีมเป็นสีม่วงแบบเดิมดีมั้ย ก็ลองทำสีใหม่มาดูกันในห้องคุย เห็นพ้องต้องกันว่าสีใหม่ใช้ได้ พี่ฟีก็อนุมัติ เลยเปลี่ยนสีธีมใหม่เรียบร้อย<br />
<br />
ปรากฏว่าปุ่มแก้ไขข้อความหาย!<br />
<br />
ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าหายเพราะอะไร เพราะแก้ไปหลายอย่างแล้วเพิ่งมาสังเกต (ตอนที่คุณพีทใส่โค้ดผิดแล้วแก้ไม่ได้เนี่ยแหละ) ตรวจสอบการตั้งค่าหลายที่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย เลยลองเปลี่ยนธีมเก่าและใหม่สลับกันดู โป๊ะเชะ! ธีมเก่ามีปุ่ม ธีมใหม่ปุ่มสาปสูญเรียบร้อย ตกลงเป็นที่ธีมนี่เอง<br />
<br />
คุณพีทใช้เวลาคุ้ยอยู่หลายชั่วโมงมาก ในที่สุดก็หาสาเหตุเจอและแก้สำเร็จ เลยเอามาลัดคิวบันทึกไว้ตรงนี้ครับ เผื่อคราวหน้าคราวหลังถ้าใช้กระดานยี่ห้อนี้อีก แล้วเปลี่ยนธีมอีก มันจะเจอปัญหาแบบเดียวกันทุกครั้ง จะได้ไม่ต้องงมอีก<br />
<br />
ต่อไปนี้เป็นข้อมูลทางเทคนิคครับ<br />
<br />
กระดานม่วงใช้ยี่ห้อ phpbb (ซึ่งคุณพีทไม่ค่อยได้ใช้และไม่ถนัดเท่าไหร่ มาหัดเล่นก็กับกระดานม่วงนี่แหละ)<br />
<br />
ภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทย<br />
<br />
ธีมมาตรฐานที่ติดมากับโปรแกรมเวอร์ชั่นนี้คือ Prosilver เป็นสีฟ้าสด เนื่องจากเป็นธีมมาตรฐาน ปุ่มฟังก์ชั่นที่มีข้อความบนปุ่มก็เลยมีคนแปลเป็นภาษาไทยให้เรียบร้อย คือมีปุ่มทั้งสองภาษา อังกฤษและไทย<br />
<br />
ตอนที่คุณพีทเปลี่ยนสี ไม่ได้ใช้ธีมอื่น ยังใช้ Prosilver อยู่ แต่ที่เว็บ phpbb เขามีเครื่องมือช่วยในการเปลี่ยนสีธีม ชื่อว่า ColorizeIt ให้เราเลือกสีองค์ประกอบสามส่วนได้ตามต้องการ คุณพีทก็จัดการเปลี่ยนสีตามนี้คือ<br />
<ol>
<li>สีฟ้าเดิม เปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อน ( hue: +90; lightness: +50; saturation: -50 )</li>
<li>สีแดงสดเดิม เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ( hue: -120; lightness: +0; saturation: +0 )</li>
<li>สีเหลืองอ่อนเดิม เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน ( hue: +120; lightness: +50; saturation: +0 )</li>
</ol>
ได้ธีมใหม่เป็น ม่วงอ่อนแซมฟ้าใส<br />
<br />
phpbb เก็บธีมเอาไว้ที่ /style/ชื่อธีม (phpbb เรียกธีมว่าสไตล์) ประกอบด้วยโฟลเดอร์ย่อยคือ<br />
<blockquote class="tr_bq">
/style/ชื่อธีม/imageset<br />/style/ชื่อธีม/template<br />/style/ชื่อธีม/theme</blockquote>
template ใช้เก็บไฟล์ html<br />
theme ใช้เก็บไฟล์ css<br />
imageset ใช้เก็บรูปต่างในธีม<br />
<br />
รูปที่ใช้ในธีมจะมีสองกลุ่มคือ รูปที่ไม่มีข้อความ ไม่ว่ากระดานจะใช้ภาษาไหนก็เป็นรูปเดียวกัน จะเก็บไว้ที่ imageset โดยตรง กับอีกกลุ่มคือรูปที่มีข้อความ จะเก็บไว้ในโฟลเดอร์ย่อยแยกตามภาษา เช่น<br />
<blockquote class="tr_bq">
/style/ชื่อธีม/imageset/en เก็บรูปที่เป็นข้อความภาษาอังกฤษ<br />/style/ชื่อธีม/imageset/th เก็บรูปที่เป็นข้อความภาษาไทย</blockquote>
ที่เปลี่ยนธีมแล้วปุ่มหาย เพราะปุ่มเหล่านั้นของธีมเดิมภาคภาษาไทยอยู่ในโฟลเดอร์ย่อย /th แต่ธีมใหม่ไม่ใช่ธีมมาตรฐานที่มีคนแปลไว้ ก็เลยไม่มีโฟลเดอร์ย่อย /th พอระบบหารูปไม่เจอ ก็เลยไม่แสดง ปุ่มต่างๆ ที่เคยมีข้อความภาษาไทยอยู่ก็เลยหายไปหมดในธีมใหม่ (มีปุ่มอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ปุ่มแก้ไขข้อความปุ่มเดียว)<br />
<br />
วิธีแก้ก็คือ เข้าไปที่ File Manager ของโฮสต์ แล้วสร้าง /th เพิ่มขึ้นมาใต้ imageset ของธีมใหม่ สำหรับกระดานม่วงคุณพี่ไม่มีเวลานั่งทำกราฟิกใหม่ ก็เลยก๊อปปี้เอาปุ่มภาษาไทยจากธีมเดิมมาใช้ในธีมใหม่เลย ซึ่งโทนสีจะเป็นสีแดงกับฟ้า ไม่ขัดกับโทนสีม่วงกับฟ้าเท่าไหร่ พอไปกันได้ครับ<br />
<br />
เป็นอันว่าแก้ปัญหาสำเร็จเรียบร้อย ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง (เอ๊ง)<br />
<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-90759556970520357762013-07-20T05:25:00.000+07:002013-07-25T00:52:48.079+07:00ไอเดียเริ่มเรื่อง (1) สถานที่และบรรยากาศตอนนี้เรายังคุยกันในเรื่อง<br />
<blockquote class="tr_bq">
<a href="http://pitandorn.blogspot.hu/2013/07/blog-post_19.html" target="_blank">การสร้างไอเดียเพื่อเริ่มนิยายเรื่องใหม่</a></blockquote>
อยู่นะครับ ถ้าตามไม่ทัน ย้อนกลับไปอ่านลิงก์ข้างบนก่อนได้นะครับ<br />
<br />
สถานที่และบรรยากาศเป็นจุดเริ่มต้นในการคิดไอเดียที่ง่ายที่สุด และเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด แทบจะจับต้องได้เลยเชียวครับ เหมือนที่เราเคยได้ยินคนพูด (หรืออาจจะเคยคิดเอง) ว่า อยากเขียนนิยายแนวทะเลทราย (ก็คือเรื่องราวเกิดขึ้นในดินแดนทะเลทราย) อยากเขียนเรื่องการผจญภัยในป่า อยากเขียนเรื่องรักในมหาวิทยาลัย หรืออยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับการทำไร่นา เป็นต้น<br />
<br />
นิยายแต่ละเรื่องให้ความสำคัญกับสถานที่และบรรยากาศไม่เท่ากันนะครับ<br />
<br />
(1) บางเรื่องให้ความสำคัญมาก ถือเป็นจุดเด่นในเรื่องเลยทีเดียว เช่น เรื่องแนวทะเลทราย สถานที่และบรรยากาศเป็นจุดเด่นถึงขนาดที่ว่าเป็น "แนวนิยาย" ของตัวเองได้เลย บางเรื่องให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นส่วนประกอบหลักของเรื่องราว แต่ไม่ถึงขนาดว่าเป็น "แนวนิยาย" ตัวอย่างเช่น นิยายที่เขียนเกี่ยวกับการผจญภัยในป่า นิยายที่เขียนเกี่ยวกับไร่นาการเกษตร เป็นต้น<br />
<br />
(2) บางเรื่องใช้สถานที่และบรรยากาศเป็นเพียงเวทีสำหรับให้เรื่องราวดำเนินไป แต่ไม่ได้เด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ มักจะเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปคุ้นเคย มักจะเป็นฉากในเมือง และมักจะเป็นสถานที่ที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นที่นั้นที่นี้ เรียกว่าจะเป็นที่ไหนก็เกือบจะได้ เช่น บ้าน คอนโด สวนสาธารณะ สำนักงาน ร้านค้า ห้าง ร้านอาหาร<br />
<br />
(3) บางเรื่องใช้สถานที่และบรรยากาศเป็นเวทีเหมือนกัน แต่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวมากกว่า เรียกว่าต้องเป็นที่นี่นะ ต้องมีลักษณะอย่างนี้นะ เป็นตัวช่วยเอื้อให้เหตุการณ์เกิดได้ง่ายขึ้น หรือเป็นไปในทิศทางที่คนเขียนต้องการได้ง่ายขึ้น หรือเป็นกรอบที่เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นภายในนี้ เช่น เรื่องรักในมหาวิทยาลัย จะมีกลิ่นอายบรรยากาศชีวิตนักศึกษาอบอวลอยู่มาก (แต่ไม่ถึงกับเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอย่างแบบแรก) หรือเรื่องรักที่เกิดขึ้นในรีสอร์ต บนเขา ชายทะเล เกาะ เป็นต้น<br />
<br />
นิยายหนึ่งเรื่องมักจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในหลายสถานที่ แต่บางเรื่องจะมีสถานที่หลักที่เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้น สถานที่หลักเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดบรรยากาศของเรื่องไปโดยปริยาย<br />
<br />
เช่นถ้าเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเกาะ แม้จะมีฉากในเมืองหรือบนฝั่งบ้าง แต่คนอ่านก็จะรู้ว่าเวทีของเรื่องนี้ แท้จริงแล้วอยู่บนเกาะ<br />
<br />
หรือเรื่องรักในมหาวิทยาลัย ก็จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกรั้วบ้าง เช่น ที่บ้าน หรือไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด แต่บรรยากาศชีวิตนักศึกษาก็จะตามติดไปทุกที่<br />
<br />
หรือนิยายแนวทะเลทราย ก็อาจจะมีหลายฉากที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ทะเลทรายด้วย เช่น ประเทศไทย หรือประเทศฝรั่ง แต่คนอ่านก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องแนวทะเลทรายอยู่ดี<br />
<br />
แล้วทำไมคุณพีทถึงเขียนว่า "สถานที่และบรรยากาศ" มันต่างกันอย่างไร ใช้คำว่า "สถานที่" อย่างเดียวไม่ได้หรือ?<br />
<br />
ที่จริงมันเป็นคนละอย่างกันนะครับ แต่เวลาเขียนนิยาย สองอย่างนี้มันเกี่ยวพันกันมาก มักจะไปด้วยกัน สอดคล้องกัน พึ่งพากัน มันก็เลยง่ายกว่าถ้าจะคิดไปด้วยกัน แต่ถ้าอยากทำความเข้าใจแยกแยะก็มีประโยชน์เหมือนกันครับ<br />
<br />
สถานที่ คำนี้เข้าใจง่าย ก็คือพื้นที่ พื้นดิน สิ่งปลูกสร้าง อาคาร อาณาเขต เป็นเรื่องของสิ่งของ สามารถเขียนในแผนที่ได้ วัดขนาดกว้างยาวสูงได้ จับต้องได้ เช่น พื้นที่ทะเลทราย พื้นที่ป่า พื้นที่รีสอร์ต พื้นที่ชายทะเล พื้นที่เกาะ พื้นที่ในเขตมหาวิทยาลัย พื้นที่ไร่นา เป็นต้น<br />
<br />
บรรยากาศ คำนี้เป็นนามธรรม ดูมัวๆ จับต้องไม่ได้ แต่คนสามารถ "รู้สึก" ได้ เป็นความรู้สึกที่สืบเนื่องมาจากพื้นที่แห่งนั้น ผูกพันกับพื้นที่เหล่านั้น และบางทีคนก็คิดถึงพื้นที่และความรู้สึกนั้นไปพร้อมๆ กันไม่ได้แยกแยะ<br />
<br />
เช่น พูดถึงทะเลทราย นอกจากตัวพื้นที่ที่มีทรายเยอะๆ มีปิระมิด มีเมืองแห้งแล้ง มีโอเอซิส คนยังนึกถึงบรรยากาศอีกหลายอย่าง เช่น ความร้อน อูฐ ความเวิ้งว้าง อันตราย ความลึกลับ บางคนอาจจะนึกถึงพายุทราย บางคนนึกถึงเนินทรายที่เป็นลูกคลื่น บางคนนึกถึงกระโจมของชนเผ่าเร่ร่อน บางคนอาจจะนึกไปถึงแมงป่องที่ซ่อนตัวอยู่ในทราย ในแง่ของการเขียน/อ่านนิยาย คนยังนึกต่อไปถึงชีคหนุ่มหล่อตาคมผิวขาวเคราเข้ม ที่ร้อนแรง เอาแต่ใจ ไม่ยอมใคร (แต่ยอมนางเอกคนเดียว) นึกถึงการลักพาตัว การเดินทางข้ามทะเลทราย เห็นมั้ยครับว่า พื้นที่ทะเลทรายเพียงอย่างเดียว แต่มีบรรยากาศต่างๆ พ่วงท้ายมาด้วยมากมายเหลือเกิน<br />
<br />
พื้นที่อื่นๆ ก็เหมือนกันครับ บางพื้นที่จะมีบรรยากาศเกือบเป็นสูตรสำเร็จติดมาด้วย บางพื้นที่อาจจะมีบรรยากาศหรือความรู้สึกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับนิยายแต่ละเรื่อง สุดแต่คนเขียนจะเลือกใช้ เช่น พื้นที่ป่า อาจจะเป็นป่าลึกลับอันตรายในแนวของเพชรพระอุมา อาจจะเป็นป่าร่มรื่นสวยงามตามแบบนิทานฝรั่ง หรืออาจะเป็นป่าที่มีความขัดแย้งของการลักลอบตัดไม้ อันตรายในแนวแอคชั่นก็ได้<br />
<br />
แล้วมันช่วยในการสร้างไอเดียเริ่มเรื่องได้ยังไง?<br />
<br />
ถ้านิยายของเราเป็นแบบที่ (2) ข้างต้น คือสถานที่เป็นแค่เวทีให้เกิดเหตุการณ์ แต่ไม่ได้เกี่ยวพันกับตัวเหตุการณ์เท่าไหร่ ตรงนี้ไอเดียเกี่ยวกับสถานที่ก็อาจจะมีประโยชน์น้อยหน่อยครับ เราจะมานั่งออกแบบบ้านนางเอก คอนโดพระเอก หรือที่ทำงานผู้ร้าย ก็ย่อมได้ไม่เสียหาย แต่มันก็ไม่ทำให้เราคิดออกสักเท่าไหร่ว่าเรื่องราวในนิยายจะเป็นยังไง ถ้าเป็นแบบนี้ก็ข้ามไปคิดไอเดียจากหัวข้ออื่นดีกว่า<br />
<br />
แต่ถ้านิยายของเรามีทีที่ว่าจะเป็นแบบที่ (1) คือสถานที่เป็นจุดเด่นของเรื่อง หรือแบบที่ (3) คือสถานที่เป็นเวที แต่มีส่วนสัมพันธ์กับเหตุการณ์และความรู้สึกในเรื่อง การคิดเรื่องสถานที่ก็สามารถช่วยให้เราสร้างไอเดียสำหรับเรื่องราวต่อได้ไม่น้อยเหมือนกันครับ<br />
<br />
นอกจากนิยายแนวทะเลทรายแล้ว ก็ยังมีนิยายแนวอื่นที่สถานที่และบรรยากาศมีประโยชน์มากต่อการคิดสร้างเรื่องครับ เช่น นิยายแนวแฟนตาซี นิยายแนววิทยาศาสตร์และจินตนาการ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใช้ฉากเป็นโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกปัจจุบันที่เราอยู่ เช่น โลกต่างดาว อาณานิคมบนดาวอื่น โลกอดีต โลกอนาคต หรือโลกต่างมิติ) นิยายแนวเหนือธรรมชาติ (มักใช้ฉากเป็นโลกปัจจุบันที่เราอยู่ แต่มีส่วนประกอบบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ) หรือนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ เป็นต้น<br />
<br />
แล้วต้องคิดอะไรบ้าง? คิดแค่ไหน?<br />
<br />
ถ้าแบบประหยัดแรงที่สุดก็ตอบว่า คิดเท่าที่คิดว่าจะต้องใช้ในการเขียนครับ แต่ถ้าเป็นคุณพีทเอง ก็คิดไปเรื่อยๆ เท่าที่ยังสนุกอยู่และยังคิดไหว เพราะไอ้ที่เรายังไม่รู้ว่าจะต้องใช้หรือเปล่า พอลงมือเขียนจริงแล้วอาจจะได้ใช้ก็ได้ หรืออาจจะมาช่วยให้เราคิดเรื่องราว/เหตุการณ์ออกมากขึ้นก็ได้<br />
<br />
ที่ต้องไม่ลืม (คุณพีทเขียนเล่าไว้ในบล็อกที่แล้ว) ก็คือว่า เราไม่จำเป็นต้องคิดสถานที่และบรรยากาศออกมาหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจนละเอียดยิบถึงขนาดเขียนแผนที่ได้เลยในขั้นนี้ เราค่อยๆ คิดจากภาพคร่าวๆ ก่อนครับ ได้แค่ไหนแค่นั้น แล้วพอเราทำงานไปเรื่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ เขียนไปเรื่อยๆ เราก็จะลงรายละเอียดมากขึ้นจนชัดเจนเพียงพอสำหรับเขียนออกมาในที่สุด<br />
<br />
หัวใจของขั้นนี้คือ การสร้างไอเดียสำหรับการเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่ไงครับ<br />
<br />
รายงานว่าตอนนี้คุณพีทก็เริ่มๆ คิดสถานที่และบรรยากาศไปทีละนิดละหน่อยแล้วครับ จากที่กำหนดไว้ว่าจะเขียนแนวแฟนตาซีผจญภัยไม่เน้นความรัก คุณพีทก็ต้องสร้างดินแดนแฟนตาซีขึ้นมาโลกหนึ่ง ทีนี้พระเอกจะอยู่ตรงไหน ทำไมถึงต้องออกผจญภัย คุณพีทก็ต้องหาช่องทางสักเล็กน้อย ตอนนี้เล็งไว้ว่าตัวพระเอกเองจะต้องอยู่ในเมือง และความจำเป็นทางครอบครัวจะเป็นตัวบีบบังคับให้ต้องผจญภัย ตอนผจญภัยก็ค่อยออกไปร่อนเร่ในป่าเขาตามสูตรนิยายผจญภัยทั่วไป<br />
<br />
บรรยากาศของนิยายแฟนตาซีก็มีหลายแบบ มีทั้งแบบโบราณ คือเป็นสังคมที่ใช้เทคโนโลยีหนักไปทางเครื่องกล อาจจะใช้แรงงานคน สัตว์ หรือพลังงานจากธรรมชาติ ในการหมุนเฟืองต่างๆ เพื่อทำงาน แต่ไม่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างโลกยุคปัจจุบัน (บางโลก/บางเรื่องมีการใช้พลังงานจากการเผาไหม้เช่นพลังงานไอน้ำ) นิยายแฟนตาซีบางเรื่องใช้พลังเวทมนตร์หรือพลังเหนือธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช้บรรยากาศเทคโนโลยีที่เน้นพลังงานไฟฟ้า น้ำมัน และอุปกรณ์อิเลกโทรนิกส์อย่างยุคปัจจุบัน (มันคงทำให้เสียบรรยากาศมั้งครับ)<br />
<br />
นิยายเรื่องนี้ของคุณพีทก็จะเดินตามแนวนี้ครับ เพราะส่วนตัวชอบบรรยากาศแบบนี้ มันขลังดี ว่างั้น ฮ่าๆๆ นึกถึงนิทานฝรั่ง หรือบรรยากาศแบบในลอร์ดออฟเดอะริงส์ หรือบรรยากาศแบบในนิยายแฟนตาซีกระแสหลักของฝรั่ง ผู้คนก็จะใส่เสื้อผ้าแบบโบราณๆ อะไรทำนองนั้น แต่ของคุณพีทคงไม่ใช่เสื้อผ้าฝรั่งโบราณเสียทีเดียว แล้วก็ไม่ใช่เสื้อผ้าไทยด้วย (เพราะเป็นนิยายแฟนตาซีนะ ไม่ใช่แนวประวัติศาสตร์) จะเป็นแบบที่คุณพีทชอบและอยากให้เป็น ฮ่าๆๆ แล้วมานั่งคิดสร้างภูมิอากาศให้เหมาะสมกับเสื้อผ้าอีกที (จริงๆ มันต้องออกแบบเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศนี่นา!)<br />
<br />
นอกจากตัวสถานที่ที่เป็นพื้นที่แล้ว คุณพีทก็กำลังคิดไปถึงบรรยากาศทางสังคม สภาพสังคม ครอบครัว กลุ่มคน ชนชั้นในสังคมด้วยครับ ไม่ได้คิดเยอะนะ แค่นิดๆ หน่อยๆ เพื่อจะหาที่ให้พระเอกยืนเท่านั้นเอง ว่าจะเป็นครอบครัวคนชั้นไหน พ่อแม่เป็นใคร ทำไมถึงต้องออกผจญภัย แต่คุณพีทไม่อยากเขียนเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงเท่าไหร่ ถึงแม้ว่านิทานฝรั่งที่อ่านจะเป็นเรื่องเจ้าชายเจ้าหญิงเสียเยอะ แต่อยากให้พระเอกเป็นคนธรรมดามากกว่า (เหมือนคนเขียน!) แต่จะมีเจ้าชายเจ้าหญิงเป็นตัวประกอบบ้างหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที<br />
<br />
ยังคิดไม่เสร็จ ไม่ครบถ้วน ไม่ครอบคลุมทุกแง่มุม แต่ก็พอให้เห็นบรรยากาศของเรื่อง ว่านิยายเรื่องนี้จะออกมาเป็นทำนองไหนนะครับ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการสร้างไอเดีย เย้ ตบมือให้ตัวเอง<br />
<br />
บล็อกนี้คุยเรื่องสถานที่และบรรยากาศแล้ว วันหลังมาคุยกันเรื่องตัวละครต่อครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-88140273029478776252013-07-19T03:53:00.000+07:002013-07-19T03:53:24.142+07:00การสร้างไอเดียเพื่อเริ่มนิยายเรื่องใหม่ไอเดีย แปลง่ายๆ ว่าความคิด ในการทำงานแทบทุกอย่างเรามักจะใช้ไอเดียเสมอ ในการเขียนนิยาย เรายิ่งต้องใช้ไอเดียในแทบจะทุกขั้นตอนเลยนะครับ เรียกว่าตั้งแต่เริ่มต้น ยาวไปจนจรดนิ้วบนแป้นพิมพ์กลั่นความคิดมาเป็นตัวหนังสือเลยทีเดียว<br />
<br />
ในบล็อกนี้ เราจะขีดเส้นคุยกันเฉพาะตอนเริ่มเขียนนิยายเรื่องใหม่ก่อนนะครับ เพราะตอนนี้คุณพีทยังอยู่ในขั้นนี้ เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องมาจากบล็อกแรก คือ<br />
<blockquote class="tr_bq">
<a href="http://pitandorn.blogspot.hu/2013/07/blog-post.html" target="_blank">จะเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่องใหม่ ต้องคิดอะไรบ้างนะ?</a></blockquote>
เท้าความนิดนึงว่าคุณพีทกำลังจะเริ่มเขียนนิยายอีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ เลยต้องมานั่งคิดเตรียมตัวสำหรับการเขียน โดยเริ่มจาก<br />
<br />
1. พิจารณากรอบหรือข้อกำหนดในการเขียนนิยายครั้งนี้แล้วสรุปว่า จะเปิดเรื่องใหม่ (ไม่เขียนต่อจากเรื่องชุดเดิมที่ค้างไว้) ความยาว 120 หน้า ระยะเวลาเขียนจริงไม่เกิน 40 วัน<br />
<br />
2. นิยายเรื่องนี้จะเป็นแนวแฟนตาซีผจญภัย และไม่เน้นความรัก<br />
<br />
ขั้นต่อไปคือ<br />
<br />
3. สร้างไอเดียว่าเรื่องที่เราจะเขียน มันจะเกี่ยวกับอะไร เป็นเรื่องของใครบ้าง โทนอารมณ์ของเรื่องเป็นแบบไหน แนวทางการดำเนินเรื่องจะเป็นยังไง<br />
<br />
ซึ่งก็คือขั้นที่เราจะคุยกันในบล็อกนี้ครับ<br />
<br />
มีเรื่องสำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งที่ควรพูดถึงและทำความเข้าใจกันก่อน คนที่เขียนนิยายมาหลายๆ เรื่องจะรู้แล้ว แต่คนที่เพิ่งเริ่มเขียน หรือคนที่อ่านตำราเขียนนิยายแต่ยังไม่ได้ลองเขียน อาจจะไม่ทันนึกถึงหรือไม่ทันสังเกต<br />
<br />
เวลาเราอ่านตำรา เขาเขียนเพื่อให้คนอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย และเห็นภาพตามได้ง่าย เลยมักจะอธิบายขั้นตอนการทำงานเป็นขั้นๆ อย่างชัดเจน เป็นระเบียบเรียบร้อย ว่าขั้นแรกต้องคิดเรื่องนี้นะ แล้วต้องมาเรื่องนี้ เช่น เรื่องพล็อต ตัวละคร การดำเนินเรื่อง มุมมอง ฯลฯ (ยังไม่ต้องสนใจว่าอันไหนคืออะไรนะครับ ยกตัวอย่างให้ดูเฉยๆ)<br />
<br />
บางทีคนที่ไม่เคยเขียนหรือเพิ่งเริ่มเขียน อ่านแล้วอาจจะนึกไปว่า เราต้องคิดทีละหัวข้อ แล้วคิดให้เสร็จเป็นหัวข้อๆ ไป แล้วพอลองลงมือทำตาม คนส่วนใหญ่ก็มักจะติดขัด เพราะจะคิดให้ "เสร็จ" ทั้งหัวข้อนี่ มันเยอะนะ และทำให้รู้สึกว่ายาก<br />
<br />
ในทางปฏิบัติ คนที่เขียนนิยายมาเยอะๆ จะรู้ไปเองว่า เวลาคิดเราไม่ได้คิดให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปทีละหัวข้อ แต่มันค่อยๆ คิดไปพร้อมๆ กันทุกหัวข้อนั่นแหละ แต่ทีละนิดละหน่อย จนกระทั่งมันค่อยๆ ประกอบรวมกันเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ตอนที่เราจรดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ในที่สุด<br />
<br />
เพราะฉะนั้นในแต่ละหัวข้อนี่ เราอาจจะคิดไปแล้ว แต่ยังไม่ละเอียด ยังมัวๆ อยู่ แต่พอเราคิดเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน มันก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจจะต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ิคิดไปแล้ว ย้อนกลับไปกลับมาหลายตลบ จนได้เรื่องราวที่ถูกใจที่สุดออกมา<br />
<br />
ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนกับการปั้นดินน้ำมันนะครับ สมมุติเราจะปั้นรูปช้าง เราอาจจะเลือกปั้นตรงไหนก่อนก็ได้ อาจจะหัว หรือหู หรืองวง หรืองา หรือขา หรือพุง หรือบางคนอาจจะคลึงดินน้ำมันเป็นเส้นยาวๆ แล้วทำหางก่อนเป็นอันดับแรกก็ยังได้!<br />
<br />
พอเราปั้นชิ้นแรกแล้ว อาจจะเป็นหัว แต่พอเราปั้นงา เอามาลองติดดู แล้วมันเล็กไปหรือใหญ่ไป ดูแล้วเหมือนช้างพิการ เราก็ต้องแก้ใหม่ อาจจะเอาดินน้ำมันมาแปะหัวให้ใหญ่ขึ้น หรือเด็ดดินน้ำมันออกจากงาให้มันสั้นลง<br />
<br />
หรือพอเราปั้นขาแล้ว เอามาต่อกับตัว ดูไปดูมาคล้ายขาหมู (พะโล้) มากกว่าขาช้าง จะแค่แปะเพิ่มหรือเด็ดออกคงไม่พอ อาจต้องรื้อขา (ดูตัวอย่างจากหนังสือการ์ตูน?) แล้วปั้นใหม่กันเลยทีเดียว ไม่งั้นเดี๋ยวช้างของเราจะกลายเป็นช้างพะโล้รมควัน<br />
<br />
การเขียนนิยายก็คล้ายๆ กันนะครับ สมมุติเราเริ่มจากตัวละคร คิดไปคิดมา จะให้คนนี้เป็นแบบนี้ คนนั้นเป็นแบบนั้น ดูน่าจะถูกใจดีแล้วนะ แต่นิยายไม่ใช่แค่ข้อมูลรายละเอียดตัวละคร มันต้องมีการกระทำ มีเรื่องราว พอเรามาคิดเรื่องราวและการกระทำของตัวละคร ไอ้ที่เคยคิดเอาไว้อาจจะไม่เหมาะเสียแล้ว ต้องเปลี่ยนอาชีพพระเอกใหม่ ต้องเปลี่ยนบุคลิกผู้ร้ายใหม่ เพื่อให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้ เป็นต้น<br />
<br />
นี่เป็นสิ่งแรกที่ควรสังเกตและทำความเข้าใจ ในการคิดเพื่อเขียนนิยายครับ โดยสรุปก็คือ ในทางปฏิบัิติแล้ว เราไม่ได้คิดให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปเลยทีละหัวข้อ ก่อนที่จะขึ้นหัวข้อใหม่ (ตามที่ตำราเขียนบอก) เพราะทุกหัวข้อมันเกี่ยวข้องกันไปหมด (เหมือนหัวช้างกับงาช้าง หรือเหมือนบุคลิกตัวละคร กับการกระทำของตัวละคร) แต่เรามักจะค่อยๆ คิดทุกหัวข้อไปด้วยกัน ทีละนิดทีละหน่อย จนกระทั่งแต่ละส่วนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และมาประกอบกันเป็นภาพรวมในที่สุด<br />
<br />
เพราะฉะนั้นในขั้นที่ 3 หรือการสร้างไอเดียนี้ จึงเหมือนกับการวาดรูปไว้ในใจ (หรือในสมุด) โดยคร่าวๆ ว่าเรื่องราวของเราจะมีหน้าตาอย่างไรบ้าง จะมีใครมาเกี่ยวข้องบ้าง เหตุการณ์มันจะเป็นทำนองไหนบ้าง โดยที่รายละเอียดแต่ละส่วนจะยังไม่ชัดเจนเลย แต่ดูรวมๆ แล้วพอเห็นโครงคร่าวๆ ว่า นี่คือช้างนะ เอ๊ย นี่คือนิยายเรื่องนี้นะ<br />
<br />
การ "หา" ไอเดียเพื่อมาสร้างภาพคร่าวๆ ในขั้นนี้ ก็ใช้เทคนิคไม่ต่างจาการ "หา" ไอเดียในขั้นอื่นๆ หรือในการทำงานทั่วๆ ไปนะครับ อาจจะหาจากสิ่งรอบตัว จากการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ แต่ในบล็อกนี้เราจะยังไม่คุยเรื่องนี้ก่อนนะ เราจะข้ามไปก่อน แล้วมาดูเรื่องการ "คิด" หรือ "สร้าง" ไอเดียกันเลย ว่าเมื่อเราหาไอเดีย/แรงบันดาลใจจากแหล่งต่างๆ แล้ว ตอนเอามาสร้างเป็นนิยายเรื่องใหม่นี่ มันคิดจากตรงไหนได้บ้าง<br />
<br />
มีแนวทางง่ายๆ ที่ใช้ช่วยเริ่มต้นสร้างไอเดียสำหรับนิยายเรื่องใหม่ 4 แนวทางครับ จะเลือกใช้แค่แนวทางเดียว หรือใช้หลายแนวทางประกอบกันก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน คุณพีทจะเล่าโดยเรียงจากแนวทางที่คิดว่าเห็นภาพได้ง่าย เป็นรูปธรรมที่สุด ไปหาแนวทางที่ใช้ัจินตนาการมากขึ้นนะครับ<br />
<br />
สำหรับบล็อกนี้ คุณพีทจะพูดถึงสี่หัวข้อนี้คร่าวๆ ให้เห็นภาพรวมก่อน แล้วบล็อกต่อๆ ไป จะหยิบแต่ละหัวข้อมาเจาะในรายละเอียด พร้อมทั้งบันทึกว่าคุณพีทได้ใช้แนวทางในหัวข้อนั้นกับการคิดนิยายเรื่องนี้ยังไงบ้างนะครับ<br />
<br />
3.1 สถานที่และบรรยากาศของเรื่อง เป็นจุดที่คิดได้ง่าย เห็นภาพได้ง่ายที่สุด และเป็นจุดเด่นของนิยายหลายเรื่อง (และหลายแนว) ที่นิยมกันมากก็เช่นนิยายแนวทะเลทราย บางคนอยากให้มีปิระมิด บางคนนึกถึงแม่น้ำไนล์ บางคนชอบบรรยากาศกระโจมของชนเผ่าเร่ร่อน (เบดูอิน) หรือการขี่อูฐกลางแสงจันทร์ ถ้าไ่ม่ใช่แนวทะเลทราย บางคนอยากเขียนบรรยากาศของรีสอร์ตบ้านไร่ บางคนอยากเขียนแนวชายหาด ชายทะเล หรือเกาะ บางคนถนัดแนวป่า บางคนอาจจะชอบแนวโลกแฟนตาซี มีป่าลึกลับ มีปราสาท เป็นต้น<br />
<br />
3.2 ตัวละคร ไม่ว่าเร็วหรือช้า ก็หนีตัวละครไปไม่พ้นนะครับ เพราะตัวละครเป็นผู้เล่น เป็นผู้ทำให้เกิดเหตุการณ์ และเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ถ้าไม่มีตัวละคร ก็ไม่มีนิยาย บางคนอยากเขียนนางเอกที่แก่นแก้วแสนซน หรือนางเอกที่เก็บกดแข็งนอกอ่อนใน บางคนอยากเขียนพระเอกที่ร้ายสุดๆ แต่สยบให้นางเอกคนเดียว บางคนอาจจะอยากเขียนตัวละครที่สดใสร่าเริงภายนอก แต่ลึกๆ แล้วอ่อนไหวและอ่อนแอ เป็นตัว<br />
<br />
3.3 เหตุการณ์ หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่งของเรื่อง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละคร (มักจะเป็นตัวละครหลัก เพราะในขั้นนี้เรายังคิดคร่าวๆ ตัวละครประกอบยังไม่ค่อยโผล่) เช่น รถชน แต่งงาน ทะเลาะกัน โดนโกง สะดุดเท้าหกล้มหัวทิ่ม ตกหลุมรัก เสียพนัน เล่นกีฬา เหตุการณ์เหล่านี้ดูเหมือนมันจะเล็กๆ แต่มันก็เป็นไอเดียเริ่มต้นให้มีเรื่องราวติดตามมาเป็นขบวนยาวเหยียดได้เหมือนกัน<br />
<br />
3.4 เรื่องราว หมายถึงการที่เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่องกันจนเกิดเป็นเรื่องราวที่มีความหมายหรือสร้างความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา เช่น (ตัวอย่างมาตรฐาน) นางเอกเป็นหญิงสาวผู้ต่ำต้อย (ในด้านใดด้านหนึ่ง อาจจะเป็นฐานะ การศึกษา การงาน) ถูกกดขี่ข่มเหงจากคนรอบข้าง (แม่เลี้ยง เจ้านาย) จนกระทั่งได้พบและตกหลุมรักพระเอกซึ่งเป็นชายสูงศักดิ์ (การเงิน การงาน ฐานะทางสังคม) และต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานา ฯลฯ จนความรักสมหวังในที่สุด เป็นต้น<br />
<br />
(ไอเดียของเรื่องราวนี้ บางคนอาจจะเรียกว่าพล็อต แต่คุณพีทขอเรียกว่า "เรื่องราว" ก่อนนะครับ เพราะคำว่า "พล็อต" นี้เป็นคำเจ้าปัญหา ตำราภาษาไหนๆ ก็แปลเหมือนกันมั่งต่างกันมั่ง นักเขียนแต่ละคนก็มีนิยามคำนี้ต่างๆ กันไป ซึ่งมีประโยชน์ทุกแบบ แต่ในขั้นนี้เรายังไม่ต้องสนใจก็ได้ ว่ามันจะเรียกว่าพล็อตหรือเปล่า ขอให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวก็พอแล้ว)<br />
<br />
และในหัวข้อเรื่องราวนี้ บางคนอาจจะคิดถึง "ชื่อเรื่อง" ของนิยายด้วยเลยก็ได้ เพราะชื่อเรื่องโดยส่วนใหญ่ มักจะสะท้อนหัวใจของเรื่องราวในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง ระหว่างที่เราเลือกหาชื่อเรื่องที่ถูกใจ เราก็กำลังคิดและขัดเกลาเรื่องราวในใจไปด้วยพร้อมๆ กันครับ<br />
<br />
รายงานในขั้นต้นว่า ขณะนี้คุณพีทกำลังค่อยๆ คิดในขั้นนี้อยู่ เนื่องจากคุณพีทมักจะผูกพันกับตัวละครมากที่สุด ก็เลยเริ่มจากตัวละครก่อน แล้วก็ค่อยๆ นึกถึงสถานที่กับเหตุการณ์ไปทีละนิด (เนื่องจากเป็นแนวแฟนตาซีผจญภัย ก็เลยต้องให้ความสำคัญกับสถานที่หน่อย) ส่วนตรงเรื่องราวโดยรวม ยังไม่ค่อยได้นึกถึงเท่าไหร่<br />
<br />
บล็อกต่อๆ ไปเราจะมาคุยเจาะกันทีละหัวข้อนะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-26419401633125817372013-07-17T03:35:00.000+07:002013-07-17T03:35:21.807+07:00การพักผ่อนเมื่อวานเขียนเรื่องความสม่ำเสมอ แต่วันนี้เขียนเรื่องการพักผ่อน มันจะขัดแย้งกันหรือเปล่านะ?<br />
<br />
ไม่ว่าจะเครื่องจักรหรือคน ก็ต้องการเวลาหยุดพักด้วยกันทั้งนั้น ถ้าโหมทำงานหนักต่อเนื่องกันโดยไม่รู้จักเว้นจังหวะบ้าง เครื่องก็ไหม้ คนก็คงไหม้ด้วยเหมือนกัน (แต่ไหม้คนละแบบ)<br />
<br />
ข้อสำคัญที่ต้องระวังคือ อย่าใช้คำว่าหยุดพักเป็นข้ออ้างสำหรับการอู้<br />
<br />
แต่ในขณะเดียวกัน ก็อย่ากลัวการหยุดพัก อย่าปล่อยให้เครื่องไหม้คามือ<br />
<br />
สูตรสำเร็จมันไม่มี ว่าต้องทำงานกี่วันแล้วถึงจะพักได้ และจะพักได้นานแค่ไหน แต่ละคนต้องทำความรู้จักร่างกายและจิตใจของตัวเองเอาเอง<br />
<br />
บางทีการพักมีหลายรูปแบบ ไม่ได้แปลว่าต้องอยู่นิ่งๆ เป็นหัวกะหล่ำเสมอไป แต่ละคนต้องรู้จักวิธีการพักผ่อนของตัวเองเอาเองเหมือนกัน<br />
<br />
ตอนแรกคุณพีทตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องการเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่ต่อ แต่หลังจากที่นอนน้อยมาหลายวัน รู้สึกเลยว่าถึงความคิดเราจะแล่น แต่ร่างกายเราไม่เลิศแล้ว สมควรเข้านอนเร็วสักนิด ยังมีภารกิจช่วงกลางวันอีกหลายวัน<br />
<br />
เปลี่ยนใจว่า งั้นเขียนพรุ่งนี้กลางวันแล้วกัน เพราะคาดว่าไม่ต้องออกนอกบ้าน (อย่างสองสามวันที่ผ่านมา)<br />
<br />
แต่พอนั่งหน้าจอแล้วก็เปลี่ยนใจอีกรอบ เรื่องการเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่ที่จะเขียนต่อ เก็บไว้พรุ่งนี้แหละดีแล้ว เพราะเรื่องมันยาว ต้องใช้เวลานาน แต่วันนี้เขียนเรื่องสั้นๆ สักเรื่องก็คงพอไหว รีบเขียนแล้วรีบไปนอน<br />
<br />
คุณพีทก็เลยมาเขียนเรื่องการพักผ่อน อย่างมีความสุข เพราะกำลังจะได้นอนเร็วด้วย และได้เขียนบันทึกอย่างสม่ำเสมอตามที่ตั้งใจไว้ด้วย<br />
<br />
บางที ทางออกที่ไม่ต้องซับซ้อน ก็สามารถพาเราไปสู่จุดหมายอย่างสวยงามได้นะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-3826249881035381182013-07-16T04:41:00.003+07:002013-07-17T01:51:23.578+07:00ความสม่ำเสมอถ้าเราแค่อยากเขียนนิยายเพื่อระบายความคิดความรู้สึกในแต่ละขณะออกมา
จะเขียนได้มากได้น้อย หรือจะจบไม่จบก็คงไม่เป็นปัญหา
แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่าจะเขียนนิยายให้จบ (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด)
เราคงต้องใส่ใจกับการหาเวลาลงมือเขียนให้ต่อเนื่อง มันถึงจะจบได้<br />
<br />
คนที่มีโอกาสในการเขียนนิยายจบมากกว่า ไม่ใช่คนที่เขียนเร็วกว่า
แต่เป็นคนที่เขียนอย่างสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นทีละนิดทุกๆ วัน
ความสม่ำเสมอทำให้เราไม่หยุดก่อนที่จะถึงเป้าหมาย<br />
<br />
คนเขียนนิยายเกือบทุกคนไม่ได้มีกิจกรรมแค่การเขียนนิยายอย่างเดียว แต่ยังต้องทำอย่างอื่นมากมายในแต่ละวัน บางคนทำงานประจำเช้าจรดเย็น บางคนทำงานพาร์ตไทม์ บางคนเรียนหนังสือ บางคนดูแลครอบครัว บางคนมีงานอดิเรกอย่างอื่น เช่น ทำสวน วาดรูป ร้องเพลง บ่อยครั้งที่คนอยากเขียนนิยายใช้เวลาทำนู่นทำนี่จนหมดวัน แล้วมาพบว่ามือไม่ได้จับปากกา นิ้วไม่ได้แตะแป้นพิมพ์ นิยายที่อยากจะเขียนก็ยังเป็นแค่กลุ่มควันของความคิด ยังไม่มีโอกาสกลั่นออกมาเป็นตัวหนังสือให้ชื่นใจเสียที<br />
<br />
สภาพการณ์แบบนี้คนเขียนนิยายส่วนใหญ่ได้เจอกันมาแล้วทั้งนั้น ที่จริงมันเป็นปัญหาร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ทุกคน ในแวดวงธุรกิจเขาเรียกกันว่าปัญหาการบริหารเวลา<br />
<br />
มีคนคิดค้นเทคนิคการบริหารเวลาไว้มากมาย ทุกเทคนิคมีประโยชน์และมีข้อดีข้อด้อยของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเขียนนิยายอาจจะไม่ใช่เทคนิค แต่เป็นเครื่องของความตั้งใจจริง เพราะไม่ว่าเทคนิคจะดีแค่ไหน ถ้าเราไม่ตั้งใจจริง เราก็ละเลยไม่หยิบมันมาใช้อยู่ดี ในทางกลับกัน ถ้าเราเอาจริง ต่อให้ไม่รู้เทคนิคมากมาย เราก็บังคับตัวเองให้ "หาเวลา" ลงมือเขียนจนได้อยู่ดี<br />
<br />
ไม่ว่าเราจะเลือกใช้เทคนิคการบริหารเวลาแบบไหนก็ตาม สำหรับคนเขียนนิยาย มีสิ่งที่น่าทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสม่ำเสมออยู่บางอย่างคือ<br />
<br />
1. ความสม่ำเสมอของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีสภาพแวดล้อมและข้อจำกัดที่ต่างกัน มีวิธีคิดวิธีการทำงานต่างกัน มีนิสัยในการใช้ชีวิตต่างกัน มีความถนัดในการเขียนต่างกัน ความสม่ำเสมอของคนหนึ่งอาจจะหมายถึงลงมือเขียนทุกวัน แม้จะมีเวลาเพียงแค่ยี่สิบนาทีก็เขียนได้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องนานกว่า และต้องการเวลามากกว่าสำหรับการลงมือเขียนแต่ละครั้ง<br />
<br />
2. ความสม่ำเสมอไม่ได้แปลว่าต้องทำสิ่งเดียวกันทุกวัน เช่น ลงมือเขียนทุกวัน การทำงารสร้างสรรค์นิยายแต่ละเรื่องมีหลายขั้นตอน ก่อนนิ้วจะแตะแป้นพิมพ์ให้เป็นตัวอักษรบนหน้าจอ คน "เขียน" นิยายต้องทำงานอย่างอื่นเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคิด การหาข้อมูล หรือการฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ ของตัวเอง คนเขียนนิยายต้องทำความเข้าใจความถนัดของตัวเอง ว่าตัวเองถนัดทำงานแบบไหน บางคนอาจจะถนัดลงมือเขียนทุกวัน มากน้อยขอให้ได้เขียน แล้วมาตัดแต่งขัดเกลาเข้าหากันทีหลัง บางคนอาจจะถนัดเขียนเมื่อพร้อม เมื่อมีภาพเรื่องราวชัดเจนอยู่ในหัว สำหรับคนที่ถนัดแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ลงมือเขียนทุกวัน แต่ถ้าได้ทำงานอะไรก็ตามที่เป็นการปูพื้นฐานให้กับการเขียน ก็ถือว่าเป็นความสม่ำเสมอด้วยเหมือนกัน<br />
<br />
3. ความสม่ำเสมอไม่จำเป็นต้องแปลว่าทุกวันติดกันไม่มีวันหยุด มีหลายกรณีที่กิจกรรมอื่นในชีวิตอาจจะกินเวลาในบางวันหมดไปโดยสิ้นเชิง หรืออาจมีบางวันในสัปดาห์ที่คนเขียนนิยายอาจจะกันไว้เป็นวันหยุดพักผ่อนเช่นเสาร์อาทิตย์ก็ได้ ตราบใดที่เรารู้ว่าเราจัดสรรเวลาไว้สำหรับการทำงานเขียนเท่าไหร่ และเราพยายามจัดการตัวเองให้มีวินัย ทำได้ตามเวลานั้น ก็ถือว่าเราทำงานอย่างสม่ำเสมอได้<br />
<br />
ถ้าเราทำความเข้าใจแง่มุมต่างๆ ของความสม่ำเสมอแล้ว เราก็จะเห็นว่าความสม่ำเสมอมีรูปแบบที่สามารถเป็นไปได้อยู่มากมายเหลือเกิน ไม่ได้ตายตัวเป็นอย่างเดียว<br />
<br />
สำหรับบางคน อาจจะหมายถึงการลงมือเขียนทุกวัน<br />
<br />
สำหรับบางคน อาจจะหมายถึงการทำงานเขียน ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน สัปดาห์ละห้าวัน จันทร์ถึงศุกร์<br />
<br />
สำหรับบางคน อาจจะหมายถึงการคิดตลอดเวลาทุกวัน แต่ลงมือเขียนสัปดาห์ละสามวัน จันทร์พุธศุกร์<br />
<br />
และอาจจะมีรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความต้องการ และข้อจำกัดของคนเขียนนิยายแต่ละคน<br />
<br />
แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างที่พูดถึงไว้ข้างต้น คือการตั้งใจจริง เพราะมันง่ายเหลือเกินที่เราจะบอกตัวเองว่า วันนี้เหนื่อยเกินไป เอาไว้ก่อนแล้วกัน หรือ วันนี้ยังคิดไม่ออก ขอเวลาคิดอีกวัน (แต่ไม่ได้คิด) หรืออะไรอย่างอื่นอีกร้อยแปดพันเก้า<br />
<br />
วันนี้ตอนกลางวัน คุณพีทตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนเรื่องความสม่ำเสมอ เพราะรู้ล่วงหน้าว่าตอนกลางคืนจะต้องไปงาน คงเขียนอะไรยาวมากที่ต้องใช้ความคิดเยอะๆ ไม่ไหว<br />
<br />
เอาเข้าจริง กลับมาถึงบ้านห้าทุ่ม แม้แต่เรื่องความสม่ำเสมอก็รู้สึกว่าชักจะยาวเกินไป เพราะตามันจะปิดอยู่รอมร่อ (คืนวานนอนไม่ครบแปดชั่วโมง เฮ้อ) ใจหนึ่งบอกว่า งั้นเขียนเรื่องความสม่ำเสมอพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร (ไม่มีใครรออ่าน ไม่ใช่คอลัมน์ประจำของนิตยสาร ไม่มีข้อผูกมัดอะไร)<br />
<br />
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่า คุณพีทตั้งใจไว้แต่ต้น ว่าจะเขียนบันทึกเป็นประจำ เพื่ออุ่นเครื่องตัวเองให้พร้อมสำหรับการเขียนนิยาย ก็ต้องมาคิดว่า นี่เราเหนื่อยมากจริงๆ จนเขียนไม่ไหว หรือว่าเรารู้สึกขี้เกียจและหาข้ออ้างให้ตัวเองอู้<br />
<br />
เดินไปเดินมาเตรียมตัวเข้านอน แล้วก็ตอบตัวเองได้ว่า ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมายขนาดนั้น งั้นวันนี้เราเขียนก่อน เพราะอาจจะมีบางวันที่เราเหนื่อยมากจนเขียนไม่ไหวจริงๆ เก็บโควต้าเอาไว้ลาวันนั้นแล้วกัน<br />
<br />
จนถึงบรรทัดนี้ ยังไม่ได้ใช้เทคนิคการบริหารเวลาข้อไหนเลย และคิดไม่ออกด้วยว่าจะต้องใช้ข้อไหน แต่รู้ว่าต้องใช้ความเข้มงวดกับตัวเองนิดนึง <br />
<br />
เพราะความสม่ำเสมอจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความตั้งใจจริง (จริงๆ นะเออ)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com10tag:blogger.com,1999:blog-8895917972655593425.post-85630552194373139922013-07-15T04:34:00.001+07:002013-07-15T06:42:36.974+07:00จะเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่องใหม่ ต้องคิดอะไรบ้างนะ?วางมือจากการเขียนมาเป็นปี (ลืมไปแล้วว่านานเท่าไหร่กันแน่ เอาไว้ค่อยลองนับดูนะครับ) พอนึกว่าจะเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่องใหม่ ก็เล่นเอานั่งอึ้งเหมือนกันนะครับ ว่ามันต้องเริ่มตรงไหนกันนะ?<br />
<br />
ตั้งแต่วันที่พี่ฟีชวนเขียนนิยายร่วมกิจกรรมแรลลี่ของเว็บฟอร์ไรท์เตอร์ นับถึงวันนี้ได้ห้าวัน คุณพีทก็นั่งคิดนอนคิดมาเรื่อยๆ (บางทีก็มียืนคิดและเดินคิดบ้าง) ถึงวันนี้ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย ยังว่างเปล่าอย่างรุนแรง เลยคิดว่าลองมานั่งสงบสติอารมณ์ดูใหม่ แล้วเรียบเรียงดูว่า จะเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่นี่ มันต้องคิดอะไรกันบ้างนะ<br />
<br />
1. อันแรกเลย พิจารณากรอบหรือข้อกำหนดก่อนดีกว่า ว่ามันมีอะไรช่วยขีดวงให้มันคิดได้ง่ายขึ้นบ้าง (หรือมีอะไรที่จำเป็นต้องจำกัดการคิดของเราบ้าง)<br />
<br />
ถ้าเป็นงานที่มีโจทย์มาให้แล้ว (เช่น เขียนตามใบสั่ง) ขั้นนี้ก็คือการหยิบใบสั่งมาพิจารณา ว่าเราต้องผลิตผลงานตามเกณฑ์อย่างไรบ้าง เช่น แนวเรื่อง พล็อต ความยาว จิปาถะ เพราะถ้าไม่ตีกรอบให้ดีๆ คิดไปคิดมาหลุดออกไปนอกกรอบ เดี๋ยวส่งงานไม่ผ่านล่ะแย่เลย<br />
<br />
ถ้าเป็นงานที่ไม่มีโจทย์ให้มา ขั้นนี้ก็ต้องมาดูข้อกำหนดแวดล้อมต่างๆ เช่น ถ้าจะเขียนส่งสำนักพิมพ์ จะมีข้อกำหนดเรื่องความยาวหรือเปล่า (บางสำนักพิมพ์ตีพิมพ์เรื่องขนาดยาว บางแห่งตีพิมพ์เรื่องขนาดสั้น ถ้าเราเขียนในขนาดที่ไม่มีใครสามารถพิมพ์ได้ เช่น สั้นเกินไป ยาวเกินไป มันก็ส่งผ่านยาก) จะมีข้อกำหนดด้านแนวเรื่องหรือเปล่า (บางสำนักพิมพ์รับต้นฉบับเฉพาะบางแนว ถ้าเราอยากส่งงานที่นั่น ก็ต้องเขียนในแนวที่เขารับ ไม่งั้นก็ต้องไปส่งที่อื่น) เป็นต้น<br />
<br />
กรณีของคุณพีทรอบนี้ เนื่องจากจะเขียนเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ มีข้อกำหนดแรกคือความยาวต้นฉบับ ต้องไม่ต่ำกว่า 120 หน้าเอสี่ เทียบกับที่คุณพีทเคยเขียนมาก็ถือว่าไม่เยอะ พอเขียนได้ และพอจะกะจังหวะเรื่องราวได้<br />
<br />
ข้อกำหนดที่สองคือระยะเวลา แรลลี่ครั้งต่อไปจะเริ่มเดือนกันยายน จบเดือนพฤศจิกายน มีเวลาสามเดือน หรือ 91 วัน ในช่วงสามเดือนนี้คุณพีทจะอยู่ระหว่างร่อนเร่พเนจรเสียหนึ่งเดือน เหลือแค่สองเดือนที่จะลงมือเขียนได้จริงๆ คิดเป็น 8 สัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์คุณพีทสามารถทำงานเขียนได้อย่างมากที่สุด 5 วัน แปลว่าคุณพีทมีเวลาทำงานจริงประมาณ 40 วัน สำหรับนิยายความยาว 120 หน้า<br />
<br />
นับจากวันนี้ถึงวันเริ่มเขียน คุณพีทจะมีเวลาประมาณสองเดือนครึ่ง แต่เป็นสองเดือนครึ่งที่ต้องวิ่งไปวิ่งมามิใช่น้อย ถ้าจะหยิบเอาเรื่องชุดที่เขียนค้างไว้มาต่อ (ชุดภูตกระซิบสื่อรัก) เวลาแค่นี้ไม่พอแน่ เพราะต้องรื้อฟื้นกันนาน รายละเอียดของหกเล่มที่ผ่านมารวมแล้วแปดเก้าร้อยหน้า คำนวณดูแล้ว เปิดเรื่องใหม่เลยน่าจะง่ายกว่า (เปิดอีกแล้ว เปิดเยอะๆ แล้วเมื่อไหร่จะปิดจนครบเนี่ย?)<br />
<br />
สรุป เปิดเรื่องใหม่ ความยาว 120 หน้า เวลาเขียนจริงไม่เกิน 40 วัน<br />
<br />
2. พอรู้กรอบชัดเจนแล้ว ก็มาเริ่มคิดส่วนของนิยายจริงๆ ส่วนแรกสุดที่น่าจะคิดถึงคือ แนวเรื่อง<br />
<br />
แนวเรื่อง เป็นคำกว้างๆ จริงๆ แล้วไม่มีสูตรหรือกฎเกณฑ์ตายตัว ว่านิยายในโลกนี้จะมีกี่แนว มีแนวไหนบ้าง นิยายบางเรื่องอาจจะมีส่วนประกอบของหลายแนวผสมกันก็ได้ เช่น แนวรักผสมกับผจญภัย แนวเหนือธรรมชาติผสมกับสืบสวน แต่ละประเทศ แต่ละวงการ ก็มีการแบ่งแนวเรื่องต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้งานเสียมากกว่าตั้งใจจะให้มันถูกต้องตรงเป๊ะตามหลักวิชาการ เช่น ร้านหนังสือก็จะแบ่งแนวเรื่องตามความสนใจของกลุ่มลูกค้า ร้านหนังสือต่างประเภทก็จะแบ่งแนวเรื่องต่างๆ กัน เช่น บางร้านรวมนิยายไว้ด้วยกันหมดเลย ไปเปิดดูเอาเองแล้วกันว่าเรื่องไหนแนวไหน บางร้านจะแยกหมวดให้ตามความสนใจเรียบร้อย ร้านที่แบ่งหมวดก็ยังแบ่งไม่เหมือนกันอีก บางร้านแยกนิยายวิทยาศาสตร์ออกจากแฟนตาซี บางร้านรวมไว้ด้วยกัน รวมถึงพวกเหนือธรรมชาติที่ไม่ใช่ทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งแฟนตาซี หรือบางทีรวมกระทั่งแนวสยองขวัญด้วย<br />
<br />
ถ้ากรอบในขั้นที่ 1 ข้างบนรวมถึงแนวเรื่องด้วย ขั้นนี้ก็ถือว่าเรียบร้อยไปไม่ต้องเลือกเอง คนเขียนก็เพียงแต่ทำความเข้าใจให้ชัดเจน (ตั้งแต่ในขั้นที่ 1) ว่าแนวเรื่องที่ใบสั่งกำหนดมานั้นคืออย่างไร กินความแค่ไหน ถ้าไม่แน่ใจก็ควรคุยกับผู้สั่งให้เข้าใจตรงกัน เพราะถ้าเขียนไปแล้วต้องกลับมารื้อจะเสียเวลามาก หรือในกรณีที่เขียนส่งสำนักพิมพ์ที่รับงานเฉพาะแนว คนเขียนก็ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่าแนวที่เขารับคือแนวไหน อาจจะดูจากเว็บของสำนักพิมพ์หน้าที่ประกาศรับต้นฉบับ ติดต่อสอบถามโดยตรง หรือดูจากนิยายที่สำนักพิมพ์จัดพิมพ์ออกมาขายแล้ว<br />
<br />
ถ้าไม่มีกรอบในด้านแนวเรื่อง คนเขียนก็ต้องเลือกแนวที่ต้องการจะเขียนเอง โดยปกติแล้วคนเราอ่านหนังสือหรือนิยายได้หลายแนว ในทำนองเดียวกัน คนเขียนแต่ละคนก็มักจะอยากเขียนหรือสามารถเขียนได้หลายแนวเหมือนกัน บางคนอาจจะเขียนแนวที่แตกต่างกันมาก เช่น รักโรแมนติก ลึกลับสยองขวัญ ในขณะที่บางคนอาจจะเขียนแนวที่มีส่วนเกี่ยวข้องคล้ายคลึงกัน เช่น รักโรแมนติก รักตลกเบาสมอง รักรัญจวนอิโรติก ในขั้นนี้คนเขียนต้องหาให้เจอว่ากำลังจะเขียนแนวไหน เพราะมันจะเป็นจุดเริ่มในการคิดขั้นต่อๆ ไป<br />
<br />
แล้วเราจะเลือกแนวจากไหน? ด้วยเกณฑ์อะไร? ด้วยความชอบ หรือด้วยความเหมาะสม?<br />
<br />
ถ้าเราเลือกเขียนแนวที่เราชอบ ที่เราอยากเขียน เราก็จะสนุกไปกับมัน มีความสุขกับการเขียน และตื่นเต้นไปกับเรื่องราว ทำให้เราขยัน รู้สึกอยากเขียนทุกวัน สามารถเขียนได้ต่อเนื่องจนจบ ไม่เบื่อหรือท้อไปเสียก่อน<br />
<br />
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าแนวไหนก็จะมีคนสนใจอ่านอยู่จำนวนหนึ่ง มากบ้างน้อยบ้างตามความนิยม ในบางกรณีเช่นการเขียนเพื่อส่งสำนักพิมพ์ อาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านความนิยมเข้ามาประกอบ เพราะสำนักพิมพ์เขาต้องลงทุนสูง ถ้าเป็นแนวเรื่องที่ดูแล้วขายยาก เขาก็คงไม่กล้าเสี่ยงกับงานของเราไม่ว่าคุณภาพงานจะดีขนาดไหน แต่ถ้าเป็นกรณีที่เราเขียนเพื่อแบ่งปันกันอ่านในหมู่เพื่อนฝูง หรือเขียนเพื่อขายเองไม่ว่าจะเป็นรูปเล่มหรืออีบุ๊ก เราก็มีอิสระมากขึ้น สามารถเลือกแนวที่อาจจะไม่ได้นิยมกันมาก แต่ตรงกับความชอบของเรามากกว่า ทำให้เราสร้างงานได้ถูกใจมากกว่าด้วย<br />
<br />
ถ้าเป็นแนวที่ชอบและอยากเขียน แต่ไม่เคยเขียนล่ะ จะเลือกได้ไหม? ได้สิครับ ทุกคนต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น นิยายเรื่องแรกของทุกคนก็เป็นแนวที่ไม่เคยเขียน เพราะเราไม่เคยเขียนนิยายมาก่อนสักเรื่องเลยนี่นา ถ้าเราชอบและสนุกกับมัน เราก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ในแบบของเราแน่นอน<br />
<br />
ถ้าเป็นแนวที่อยากลองเขียน แต่ปกติแล้วไม่ค่อยชอบอ่านล่ะ จะเลือกได้ไหม? ก็ได้นะครับ แต่ก็ต้องสังเกตตัวเองนิดนึงว่า เราไม่ค่อยชอบอ่านแนวนี้ แล้วทำไมถึงอยากจะเขียนแนวนี้ล่ะ? เพราะมันท้าทาย อยากรู้ว่าตัวเองจะเขียนได้ไหม หรือเพราะมันขายดี ก็เลยอยากเขียนบ้าง หรือเพราะอยากหัด หรือเพราะอยากนึกสนุก หาเหตุผลของตัวเองให้เจอ จะได้รู้ว่าเมื่อเราเลือกแนวนี้ (ที่อยากเขียนแต่ไม่ค่อยชอบอ่าน) แล้วเราอาจจะต้องระมัดระวังตรงไหนบ้าง หรือจะต้องเพิ่มพูดความรู้ให้กับตัวเองในแนวนี้อย่างไรบ้าง แค่ไหนถึงจะพอให้เราเขียนได้จนจบ และเขียนได้ดี<br />
<br />
กรณีของคุณพีทรอบนี้ นั่งคิดนอนคิด (และยืนคิดเดินคิด) มาหลายวัน ตัดสินใจว่าอยากจะลองเขียนแนวแฟนตาซีผจญภัยที่ไม่ใช่แนวรักดูครับ<br />
<br />
หนักหนานะเนี่ย<br />
<br />
ตั้งแต่เขียนนิยายมา คุณพีทเขียนแนวรักมาตลอด อาจจะเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ หรือแนวรักปนเศร้า หรือกระทั่งรักร้อนแรงรัญจวนชวนหวิว แต่ก็รักนั่นแหละ (และเป็นแนวชายรักชายเสียส่วนใหญ่ ยกเว้นเรื่องเดียวที่รักกันนุงนังไปหมด) เมื่อเร็วๆ นี้นึกอยากเขียนแนวแฟนตาซี หรือผจญภัย หรือเหนือธรรมชาติ ที่ไม่ได้เน้นเรื่องรักดูบ้าง แต่ก็แค่นึกอยาก ลองคิดเรื่องราวดูเล่นๆ แล้วก็เปลี่ยนหาไอเดียใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมัน พอพี่ฟีชวนเขียนแรลลี่ และจากขั้นที่ 1 สรุปว่าจะเปิดเรื่องใหม่ ก็เลยคิดว่า งั้นก็เอาแนวนี้แหละที่กำลังอยากเขียนพอดี<br />
<br />
ปัญหาที่สำคัญมากๆ ของคุณพีทสำหรับแนวนี้ก็คือ... เมื่อก่อนคุณพีทเคยชอบแนวนี้มากนะครับ ทั้งในรูปแบบหนังสือนิยาย (ส่วนใหญ่อ่านภาษาอังกฤษ) และทีวีซีรี่ส์ แต่พอมาหลังๆ นี่ อ่านหนังสือแนวนี้แล้วรู้สึกเบื่อๆ เหมือนมันคล้ายๆ กันไปหมด เนื้อเรื่องไม่เหมือนกันก็จริง แต่อารมณ์มันประมาณเดียวกันจนความรู้สึกมันเหมือนเดิม มันไม่ตื่นเต้นเหมือนแต่ก่อน ส่วนทีวีซีรี่ส์ ถ้าได้ดูก็ยังชอบอยู่นะครับ แต่ก็ไม่ได้ดูบ่อย (คุณพีทไม่ค่อยดูทีวี) แล้วล่าสุดก็ไม่ได้ดูแนวนี้ต่อเนื่องมานานทีเดียว<br />
<br />
ก็เลยเป็นแนวที่อยากเขียน แต่ไม่ใช่แนวถนัดเลยโดยสิ้นเชิง<br />
<br />
เอาล่ะสิ แล้ว 120 หน้าในเวลา 40 วัน มันจะไหวไหม?<br />
<br />
ปลอบตัวเองว่า มีเวลาอีกสองเดือนครึ่งในการเตรียมตัว แม้จะไม่ได้นั่งคิดทุกวัน วันละแปดชั่วโมง แต่ก็คงจะพอให้เราสร้างไอเดียอะไรได้บ้างล่ะน่า และอีกอย่างเราก็รู้ตัวล่วงหน้าแล้วว่าเป็นแนวที่ไม่คุ้นเคย เราก็สามารถเตรียมตัวเพื่อตอบรับปัญหานี้ได้แต่เนิ่นๆ<br />
<br />
คุณพีทเป็นคนที่ต้องอ่านหนังสือทุกวันครับ อ่านทีละเล่มจนจบ แล้วขึ้นเล่มใหม่ ตอนนี้กำลังอ่านนิยายแนวโรแมนติกขนาดสั้นภาษาอังกฤษอยู่ เรื่องที่สามกำลังใกล้จะจบแล้ว บางทีจบเล่มนี้แล้วอาจจะต้องเปลี่ยนไปหยิบแนวแฟนตาซีผจญภัยมาอ่านบ้าง (จริงๆ ช่วงเดือนที่ผ่านมาก็อ่านไปเล่มนึงเหมือนกัน ถึงได้ฟื้นฟูความอยากขึ้นมาอีกรอบ) อย่างน้อยที่สุดจะได้เป็นการเรียกอารมณ์ (บิ๊วอารมณ์) ให้อยู่ในโหมดแฟนตาซีผจญภัย เวลาจะคิดจะเขียนอะไรจะได้ติดเครื่องได้ง่าย หัวเทียนไม่บอด ไม่ต้องเสียเวลาอุ่นเครื่องนาน<br />
<br />
สรุปในขั้นนี้ว่า คุณพีทจะเขียนแนวแฟนตาซีผจญภัย ไม่เน้นความรัก และต้องทำการบ้านในการดึงอารมณ์ตัวเองไปอยู่ในโหมดแฟนตาซีผจญภัยด้วย<br />
<br />
ดูเหมือนจะมีเรื่องต้องคิดอีกยาว วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ จะไปนอนนึกถึงหน้าพระเอกและตัวละครคนอื่นๆ ในเรื่องก่อน จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกันไว้แต่เนิ่นๆ (ถือว่าเป็นขั้นคัดตัวนักแสดงนะเนี่ย)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13685436786589086150noreply@blogger.com6